ใน ทัศนะของผู้สื่อข่าว เหตุการณ์นองเลือดในคืนนั้น แสดงถึงการปะทะกันด้วยกำลังอาวุธหนักที่เขาใช้กันในสงครามระหว่างฝ่ายทหาร ที่ยกกำลังมาปราบปรามประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยมือเปล่า กับฝ่ายลึกลับที่เรียกกันในภายหลังว่า “ชายในชุดดำ” ซึ่งก็มีอาวุธในมือ และดูเหมือนจะชำนาญในการใช้อาวุธนั้นในระดับที่ไม่แตกต่างจากฝ่ายทหารนัก
โดย กาหลิบ
ที่มา Democracy 100 percent
10 พฤศจิกายน 2553
ได้ ข่าวว่า บ.ก.ลายจุด หรือ คุณสมบัติ บุญงามอนงค์ และมวลชนประชาธิปไตยจำนวนมากท่านได้ร่วมกันจัดกิจกรรมรำลึกถึงเหตุการณ์ เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ บนถนนราชดำเนิน ณ บริเวณสี่แยกคอกวัวขึ้น
การรำลึกนั้นจะเป็นหกเดือน เจ็ดเดือน หรือหลายสิบปีจากนี้ไป ก็ย่อมมีความสำคัญในการจารึกเสี้ยวประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นและจะมีความหมาย มากขึ้นเรื่อยๆ ในภาพใหญ่
เราไม่ควรลืมว่าเหตุการณ์คืนนั้นลึกซึ้งและเป็นบทเรียนขนาดไหนต่อขบวนประชาธิปไตย
ในทัศนะของผู้สื่อข่าว เหตุการณ์นองเลือดในคืนนั้นแสดงถึงการปะทะกันด้วยกำลังอาวุธหนักที่เขาใช้ กันในสงครามระหว่างฝ่ายทหารที่ยกกำลังมาปราบปรามประชาชนผู้เรียกร้อง ประชาธิปไตยมือเปล่า กับฝ่ายลึกลับที่เรียกกันในภายหลังว่า “ชายในชุดดำ” ซึ่งก็มีอาวุธในมือ และดูเหมือนจะชำนาญในการใช้อาวุธนั้นในระดับที่ไม่แตกต่างจากฝ่ายทหารนัก
ผล คือ ความเสียหายต่อฝ่ายทหารถึงขนาดสูญเสียคนระดับนายพันเอก นายพลได้รับบาดเจ็บสาหัส และทหารยศชั้นอื่นๆ ก็ล้มตายอีกมาก ฝ่ายประชาชนก็สูญเสียชีวิตไปมากมายหลายสิบคนจนเลือดนองราชดำเนินอย่างไม่ควร ที่
นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ฝ่ายทหารต้องล่าถอยใน การสัปประยุทธ์กับฝ่ายประชาชน ซึ่งทุกครั้งในประวัติศาสตร์เป็นเป้านิ่งให้เขาเข่นฆ่าได้ตามใจ
คำว่า “ทหารแตงโม” หรือทหารชุดเขียวที่มีหัวใจสีแดง จึงดูเป็นรูปธรรมขึ้นมามากนับแต่คืนนั้นเป็นต้นมา มากขนาดทำให้แกนนำบนเวทีราชประสงค์ส่วนหนึ่งเกิดความคาดหวังว่า ตนจะได้รับความช่วยเหลืออย่างเดียวกันในวันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคมเมื่อเขาล้อมปราบเข้ามาถึงตัว
แต่เรื่องนั้นขอเอาไว้วิสัชนากันในคราวอื่น
กลับ มาที่ประเด็น “ทหารแตงโม” หรือใครก็ตามที่ปรากฎกายขึ้นในฐานะ “ชายในชุดดำ” ในคืนวันนั้น พูดในเชิงยุทธวิธีแล้ว นั่นคือการลุกฮือของมวลชนติดอาวุธเป็นครั้งแรกในเมืองไทย นับแต่การวางอาวุธของขบวนการคอมมิวนิสต์เป็นต้นมาทีเดียว
ถ้าเรา เป็นฝ่ายเจ้าของประเทศ เหตุการณ์นี้เริ่มบอกกับเขาแล้วว่า การต่อต้านอำนาจเผด็จการและการเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งนี้ไม่ธรรมดา เขาก็ย่อมเพิ่มระดับความรุนแรงของอำนาจในมือ การ “กระชับพื้นที่ “ ซึ่งเป็นภาษาไพเราะของการล้อมฆ่าประชาชนจึงเกิดขึ้นในเวลาต่อมา เป็นเหตุและผลของกันและกัน สามารถอธิบายได้ด้วยหลักจิตวิทยาธรรมดา
คำถามคือทำไมจึงเกิดขึ้นครั้งเดียวแล้วหาย?
คำ ตอบที่อาจจะยังไม่สมบูรณ์ ย้อนกลับไปหาเรื่องแนวทางและยุทธศาสตร์ใหญ่ของฝ่ายที่ต่อสู้ต้านทานระบอบ เผด็จการโบราณว่า เจตนาสุดท้ายคือการมุ่งแก้ปัญหาการเมืองของประเทศในระดับโครงสร้างจริงหรือ ไม่ หรือต้องการเพียงอำนาจรัฐบางส่วนเพื่อตอบสนองความต้องการทางการเมืองของตน เองและคณะเท่านั้น
หากไม่มุ่งหมายขนาดนั้น การลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธในคืนวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ ก็เป็นเพียงหลอกล่อ (bluff) เขาเล่น เหมือนกับเกมการเมืองอื่นๆ ที่ดำเนินมาตลอดสี่ห้าปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง
เป็นการ กระทำที่เพียงหวังให้เขาตกใจและเปลี่ยนใจ ปล่อยมือจากปุ่มควบคุมชั่วคราว เพื่อตัวจะได้คืบคลานกลับสู่สถานะอันเคยมีเคยเป็นผ่านรอยปริแยกในผนังด้าน ข้างของระบอบเผด็จการโบราณเท่านั้น ไม่ได้คิดการใหญ่ไปกว่านั้นเลย
เมื่อ ปรากฎว่าเขาไม่ตกใจและไม่ยอมเปลี่ยนใจ มิหนำซ้ำยังทารุณโหดร้ายกระหายเลือดกว่าเก่า ตัวกลับกระโดดหนีอย่างขลาดกลัว ละทิ้งมวลชนผู้มีน้ำใจกล้าหาญ แต่ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้นในเบื้องหลังไว้เพียงลำพัง
หาก การณ์เป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่าปัญหาวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ไม่ใช่การประสานงานที่บกพร่องแต่อย่างใด แต่มาจากการนำทัพที่ขาดอุดมการณ์ และเจตนาอันมั่นคงหวังพิชิตชัยชนะอย่างที่มวลชนทั่วประเทศเขาคาดหวังกันอยู่ ในเวลานั้นนั่นเอง
วันที่ ๑๐ เมษาสอนเราว่าจะคิดใช้เหตุผลกับสัตว์ในระบอบเผด็จการโบราณคงจะไม่ได้หรอก เขาล่าถอยไปในคืนนั้นไม่ใช่เพราะเห็นแก่ค่าความเป็นมนุษย์ แต่เพราะมันก็กลัวตายและรู้ว่าอีกฝ่ายเขาสู้ตายเหมือนกันต่างหากเล่า
ถ้าไม่มีมุมนี้ เราก็จะเจอเหตุการณ์อย่าง ๑๙ พฤษภาคมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สรุป แล้วอุดมการณ์นำไปสู่ใจ ใจนำไปสู่กองกำลัง และกองกำลังนั้นต้องเดินด้วยอุดมการณ์อีกต่อหนึ่ง ชาติจึงจะไปรอดและประชาธิปไตยจะไม่สูญเสียมากนัก
*******
รายงานข่าวที่เกี่ยวข้อง:
กาลครั้งหนึ่ง 10 เมษายน 2553:แค่7เดือนผ่านไป'ลืมๆอดีตไปซะ'...อย่างนั้นหรือที่คุณบอกกับเรา?!
-อย่าลืมเรา...ความจริง10เมษาฯ@สมรภูมิแยกคอกวัว
-กาลครั้งหนึ่ง 10 เมษาฯ..อย่าลืมเรา
-สังคมข่าวชาวเสื้อแดง:7เดือน10เมษา-6เดือน19พฤษภา เขาว่า ให้พวกเอ็งลืมๆอดีตซะเถอะ