ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Thursday, 4 November 2010

‘วิสุทธิ์’ประจัญบาน ทวงยุติธรรม-ศักดิ์ศรีตร.

ที่มา บางกอกทูเดย์

‘วิสุทธิ์’ประจัญบาน ทวงยุติธรรม-ศักดิ์ศรีตร.



ผ่าเกมดับเครื่องชนนักการเมือง
ชื่อชั้นของ “ผู้การวิสุทธิ์”หงอใครเสียที่ไหน

เมื่อจู่ๆถูกเด้งภาค9เข้ากรุแบบไม่สมเหตุสมผล จึงออกมาดับเครื่องชนนักการเมืองชุดใหญ่ ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการเด้งครั้งนี้

ซึ่งสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังยุครัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เรื่องของ 2 มาตรฐาน เรื่องของการเล่นพรรคเล่นพวก เรื่องของผลประโยชน์การเมือง และเรื่องของการล้วงลูกโผต่างๆ โดยเฉพาะโผตำรวจ

ถือเป็นเรื่องธรรมดา… ในยุคกระเบื้องเฟื่องฟูลอยเช่นนี้

มือยาวสาวได้สาว... ด้านได้อายอด... กลายเป็นมอตโต้ของกระสือการเมืองกลุ่มใหญ่ที่อาศัยใบบุญนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกปฏิบัติการล่าเหยื่อกันสลอน

นายอภิสิทธิ์ พยายามที่จะสร้างภาพเป็น “มิสเตอร์คลีน” เลยกลายเป็นน้ำยาฟอกขาวให้กับบรรดาคนใกล้ตัว คนร่วมพรรค คนชอบเสนอหน้าทั้งหลาย ใช้เป็นโล่บังให้หากินได้สะดวกโยธินมากขึ้น

แต่ครั้งนี้การล้วงลูกโผตำรวจ ไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 (รองผบช.ภ.9) เปิดแถลงข่าวเอิกเกริก “ฉะ โผตำรวจ นักการเมืองล้วงลูก”

เปิดโปงการแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผู้บัญชาการ (รอง ผบช.) ถึงผู้บังคับการ (ผบก.) วาระประจำปี 2553 ซึ่งคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เพิ่งพิจารณาแต่งตั้งไปเมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีการโยกย้าย พล.ต.ต.วิสุทธิ์จากรอง ผบช.ภ.9 เป็นรอง ผบช.สำนักงานกฎหมายและคดี (รอง ผบช.กมค.)

เป็นการออกมาต่อสู้ให้พี่น้องประชาชน ข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจ

“สาเหตุที่ย้ายครั้งนี้ก็คือ ผมไปอยู่ที่ บช.ภ.9 ดูแล จ.สงขลา ตรัง สตูล พัทลุง มีบ่อนการพนัน อบายมุขทุกอย่าง ยาเสพติด โปปั่น โต๊ะพนันบอล หวย หุ้น น้ำมันเถื่อน ของหนีภาษี ยาเสพติด โดยเฉพาะยาแก้ไอสี่คูณร้อย ที่เอาไปผสมกระท่อมทำยาเสพติด ผมจับไปแล้วเกือบแสน ผมไปอยู่พอจับกุมก็มีนักการเมืองมาเคลียร์แต่เคลียร์ผมไม่ได้ และส่วนมากคนที่ทำคือนักการเมืองระดับชาติ นักการเมืองท้องถิ่น ลิ่วล้อ หัวคะแนน ทำอย่างนี้ทั้งหมด เดือนหนึ่งหลายร้อยล้าน น้ำมันเถื่อนได้ส่วนต่างลิตรละ 8-10 บาท” พล.ต.ต.วิสุทธิ์ระบุ

และยังได้มีการย้ายตำรวจที่ละเลยจับกุมของผิดกฎหมายไปแล้ว 8 คน จาก 4 โรงพัก ที่ผ่านมาไม่เคยจับ พอไปจับสะเทือนทั้งวงการ เมื่อไปจับเรียกว่าทุบหม้อข้าวไม่พอ ไปทุบโรงสีอีก รื้อโรงสี นี่แหละสาเหตุที่ทำให้ถูกย้าย เพราะเป็นจระเข้ขวางคลอง ไม่ยอมนักการเมือง ลิ่วล้อนักการเมืองทำผลประโยชน์โดยมิชอบ ทุจริตกันทุกอย่างไม่ว่าเรื่องงบประมาณหรือเรื่องอะไรก็ตาม

สาเหตุสำคัญที่สุด เพราะไปทุบหม้อข้าวเลยเอาออก เพราะไปทำรายได้ของเถื่อนกว่า 100 ล้านต่อเดือน เหลือแค่ 20% รายได้หาย

ซึ่ง พล.ต.ต.วิสุทธิ์ บอกว่า เมื่อรู้ว่าจะต้องถูกย้าย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. มีการประสาน พล.ต.ท.วีรยุทธ์ สิทธิมาลิก ผบช.ภ.9 ให้ปล่อยตัวมาลอยๆ เสร็จแล้วก็ปล่อยข่าวว่าเอามาอยู่ บช.ก. เพื่อให้ดูดี โยนหินดูท่าที แต่ผู้ใหญ่หลายคนติดต่อมาบอกว่าโดนแน่ เพราะ ผบ.ตร.ให้ ผบช.กมค.(พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์) ทำหนังสือขอตัวมา

“คนรักผมมีเยอะ ตำรวจดีดีรักผมเยอะ ตำรวจชั่วๆ เกลียดผม ก็ไม่เป็นไร ตำรวจหลายคนส่งข่าวให้ไปวิ่งเต้น ผมบอกเลยไม่วิ่งเพราะไม่อยากเป็นขี้ข้า ไม่อยากมีบุญคุณ เพราะเมื่อมีแล้วต้องไปทดแทน จะเป็นอย่างไรช่างมัน แน่จริงก็แต่งตั้งมั่วๆ มา รัฐบาลสะเทือน”

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ระบุด้วยว่า ตอนแรกคิดว่าคงไม่เป็นไร เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มาเป็นประธาน ก.ตร.เอง เป็นคนตรง เป็นจอมหลักการ คงไม่ถูกย้าย รวมทั้งผบ.ตร.ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ตนเคยออกรายการโทรทัศน์ปกป้อง แต่คิดผิด

ก่อนหน้านี้เคยบอก ผบ.ตร.ว่า ที่นักการเมืองแต่งตั้งให้เป็น ผบ.ตร.นั้น ถือเป็นหน้าที่ของนักการเมือง ไม่ต้องไปตอบแทน เพราะเป็น ผบ.ตร.ได้รับโปรดเกล้าฯจากพระเจ้าอยู่หัว ให้ตอบแทนประชาชน แผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดิน เตือนแบบนี้ไปแล้ว

“ตอนนี้นักการเมืองล้วงลูกทุกอย่างขนาดผู้อำนวยการโรงเรียนยังล้วงลูก”

ในครั้งนี้การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจที่กำหนดตามกฎก.ตร.นั้น 33% ต้องให้คนอาวุโสเลื่อนขึ้น ให้ไปไล่ดูเลยกลุ่ม 33% ที่ไม่มีเส้นไปอยู่ในกรุ ยกตัวอย่าง พ.ต.อ.ศรายุทธ พูลธัญญะ รอง ผบก.ปราบปรามการค้ามนุษย์ เคยอยู่ทำงานใน บช.ก. จบนักเรียนนายร้อยตำรวจ จบปริญญาตรีและโท ด้านนิติศาสตร์ จบเนติบัณฑิต ได้แต่งตั้งขึ้นเอาไปเป็นตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) เหมือนเข้ากรุ

“อย่างนี้เห็นว่าไม่ได้เอาคนที่ดี มีความรู้มาทำงานที่เหมาะสม เท่านั้นไม่พอบางคนคิดว่า ลูกพี่นายกฯเป็นคนดีธรรมะธัมโม ภาพเดินไปสวัสดี ไม่ใช่เลย อาศรมของท่านตั้งอยู่ใน บช.ภ.9 ซึ่งผู้บังคับการที่ไปเฝ้าบ้าน ไปเฝ้าอาศรมลูกพี่นายกฯคนนี้ เพิ่งครบ (หลักเกณฑ์แต่งตั้งเลื่อนขึ้น) 3 ปี ได้เป็นรอง ผบช.ภ.9 เท่านั้นไม่พอ ยังไปเอารอง ผบก.คนหนึ่งขึ้นมาสืบทอด ดูแลอาศรมต่อ มาเป็น ผบก.จว.นั้น แล้วอย่างนี้เรียกว่าล้วงลูกหรือไม่”

และอีกรายหนึ่ง ผบก.ภ.จว.สตูล (พล.ต.ต.ธเนศ วารายานนท์) อายุ 59 ปีแล้ว มีผลงานมากที่สุด จับยาเสพติดมาตลอด แต่ว่าถูกลูกพี่นายกฯเอามาเป็น ผบก.ศูนย์ฝึกอบรม บช.ภ.1 เก็บกรุ

คำถามที่ว่าเพราะอะไรหรือ??? ก็เพราะนายกฯคาดการณ์ผิดมาหลายเรื่อง การคาดการณ์ของนายกฯที่เป็นผู้บริหารประเทศ มีวิชั่นวิสัยทัศน์แค่นี้หรือ การย้ายพล.ต.ต.วิสุทธิ์เข้ากรุ นายกฯคาดการณ์ผิดจริงๆ เพราะตนคือคนของประชาชนและแผ่นดินเป็นของจริง

การคาดการณ์ผิดต่อเนื่องเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่าไม่มีวิสัยทัศน์

กรณี ผกก.สมเพียร (พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีต ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา) ที่มาร้องขอชีวิตต่อนายกฯ ก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือ ปล่อยให้ไปทำงาน

“ผมว่าวิญญาณของ พล.ต.อ.สมเพียร ยังวนเวียน เพราะรอนายกฯตามไปขอโทษ ถามจริงๆ ใครก็ทราบว่าท่านนายกฯทำได้ทั้งนั้น ตอนที่มาร้องขอถ้านายกฯสนใจสั่ง ผบ.ตร.ออกคำสั่งมาช่วยราชการที่ไหน ไกลพื้นที่ก็ได้”

ดังนั้นจึงขอถามว่านายกฯ ผบ.ตร.และ ก.ตร.ทั้งคณะน้อมนำกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปฏิบัติหรือ ไม่ พระองค์ท่านมีกระแสรับสั่งว่าให้สนับสนุนคนดีมีอำนาจมาปกครองบ้านเมือง สกัดกั้นคนไม่ดีอย่าให้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง แต่นี่มาสกัดผมไม่ให้มีอำนาจไปดูแลทุกข์สุขของประชาชน อยากถามนายกฯ ผบ.ตร.และ ก.ตร.ทั้งหมดว่าจะไปตอบพระองค์ท่านว่าเช่นไร

พล.ต.ต.วิสุทธิ์กล่าวว่า กล้าเดิมพันให้ไปทำโพลในพื้นที่ 4 จังหวัดที่ดูแล เอาเฉพาะ จ.สงขลา ไปถามเลยว่า พล.ต.ต.วิสุทธิ์เป็นตำรวจดีสมควรอยู่หรือไม่ หรือว่าเป็นคนไม่ดี ไม่สมควรอยู่ ถ้า 70% บอกว่าเป็นตำรวจดี สมควรอยู่จะว่าอย่างไร แต่ถ้าต่ำกว่านั้น จะลาออกจะไปกระโดดน้ำที่สะพานพระนั่งเกล้า แต่ถ้าคนสงขลาชอบตนสมควรอยู่ในพื้นที่เกิน 70% ทั้งนายกฯ และ ผบ.ตร.จะต้องมากราบตักตนงามๆ มาขอโทษแล้วบอกว่าย้ายผิดไป

ร้อนฉ่าถึงขนาดกล้าประกาศว่า

“ต่อไปนี้ผมจะมาแนวใหม่เมื่ออยู่ในกรุ จะดูแลงบฯลับของ ตร. การสั่งซื้อสั่งจ้างของตร. ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎกติกา และที่พูดวันนี้ใครอย่ามาสวน หากจะตอบโต้ต้องดูตัวเองก่อนว่าขาวบริสุทธิ์หรือไม่ และจะเอาลูกน้องไปถ่ายภาพหน้าบ้านว่ารับอะไรใครเท่าไหร่ เกิน 3,000 บาทหรือไม่ นี่คือ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ที่ต่อไปจะตรวจสอบการทำงานของ ตร.และรัฐบาล มั่วๆ แล้วตายแน่ ต่อไปข้าราชการไทยคนใดมีข้อมูลอะไรส่งมาให้ผม ติดต่อที่โทร.08-1834-6699 จะสืบต่อและจะจัดการฟ้องร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง ชาติ (ป.ป.ช.)”

จริงๆแล้วพล.ต.ต.วิสุทธิ์ อยากให้ข้อมูลกระจ่างกว่านี้ แต่ขี้เกียจไปประกันตัว ฉะนั้นอย่ามาฟ้องหมิ่นประมาท และอย่ามาตั้งกรรมการฯ จะทำตนให้ดูตัวเองก่อน ไม่เช่นนั้นจะรื้อประวัติตั้งแต่เกิดตั้งแต่รับราชการมาเลย หลังจากนี้จะไม่ฟ้องร้องต่อศาลแต่ถือว่าได้ฟ้องร้องประชาชนแล้ว โดยไม่หวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงการแต่งตั้งครั้งนี้

“บอร์ดกลั่นกรองทำอะไรไม่ได้เลย ทุกรายชื่อ ตร.ส่งมาหมดแล้ว มีบัญชีมาแล้ว ออกความเห็นไม่ได้เป็นแค่พิธีการเท่านั้น ถ้าคิดอะไรมากหัวหน้าหน่วยไปด้วย แต่งตั้งระดับ พ.ต.ต.-พ.ต.อ.ที่ผ่านมา ก็มีแต่ตั๋วส่งมาจน ผบช.ภ.9 บอกว่า ไม่อยากกลั่นกรองเลยตั๋วทั้งนั้น”

ส่วนเรื่องที่ว่าเป็นเพราะเสียผลประโยชน์หรือไม่จึงโวยวาย ยืนยันได้ว่าไม่มีประโยชน์อะไร แค่อยากบอกว่านักการเมืองรังแกข้าราชการ ต่อไปคนดีหมดขวัญกำลังใจทำงาน ผลตกกับประชาชน

ต่อไปนักการเมืองยึดผู้ว่าราชการจังหวัด ยึด ผบก. ยึด ผกก.ได้ การเลือกตั้งก็สบายได้เปรียบคู่แข่งการเลือกตั้ง ซื้อเสียงก็ไม่มีใครจับ จับแต่ฝ่ายตรงข้าม

งามไส้ไปตามๆกัน

แน่นอนอาจจะมีการแก้เกี้ยวทำนองว่า นี่คือลีลาของ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร ที่มักจะใช้สไตล์ดุเด็ดเผ็ดมันมาตลอด

แต่หากมองให้ลึกในคราวนี้ นี่คือการออกมาชนกับนักการเมือง นี่คือการออกมาชนกับผู้มีตำแหน่งหน้าที่หัวโขนทางการเมืองตรงๆ ซึ่งถามว่า เสี่ยงแค่ไหนกับอนาคตการงานในการรับราชการ หากนักการเมืองเหล่านี้ยังสามารถที่จะอยู่ได้ เพราะลูกพี่ได้รับ “ตั๋วพิเศษ”ให้อยู่ต่อไปอีกระยะ

บรรดาคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์ที่ตอนนี้หน้าแดงก่ำ หูร้อนฉ่า คงไม่มีทางที่จะให้อภัยกับถ้อยคำกร้าวๆ แฉแหลกของ พล.ต.ต.วิสุทธิ์แน่

ดังนั้นมองกันให้ลึกๆ คนที่ยังมีอายุราชการ แต่กล้าออกมาแฉเหมือนคนที่ใกล้เกษียณเร็วๆนี้ จึงไม่ต้องเกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ อีกต่อไปแล้ว

น่าจะสะท้อนชัดเจนว่าข้อมูลที่ว่ามีนักการเมืองมาล้วงโผ มีธุรกิจมืดของนักการเมืองในพื้นที่ จะต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน

และถ้าข้อมูลไม่สร้างผลกระทบ ไม่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับธุรกิจการเมืองจริงๆ คงไม่เกิดภาพจับมือกันออกมากระหน่ำใส่ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ เช่นนี้ โดยเฉพาะการที่ใช้คารมเสียดสีไปถึงเรื่องบางเรื่องที่เป็นเรื่องซึ่งไม่ได้ เป็นประโยชน์ต่อสังคมใดๆเลยนั้น

สะท้อนภาพชัดว่าสไตล์เช่นนี้ของนักการเมือง สังคมไทยควรที่จะยอมรับหรือไม่???

ถ้ามีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมคงไม่มีใครว่า

ตรงนี้แหละที่เป็นประเด็นน่าคิดว่า จริงๆแล้ว ฝ่ายใดกันแน่ที่เป็นฝ่ายสูญเสียผลประโยชน์

ยิ่งหากดูความวุ่นวายเกี่ยวกับโผตำรวจในยุคนี้ จะเห็นว่ามีมาตลอด และมีตัวละครทางการเมืองที่เกี่ยวข้องซ้ำๆอยู่ตลอดเช่นกัน

ตอนที่เกิดเหตุกรณีพล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีต ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา หรือ “จ่าเพียรขาเหล็ก” คิดว่านักการเมืองที่เป็นต้นเหตุความวุ่นวายของโผตำรวจ จะรู้สึกละอายต่อบาปกรรมบ้าง จะเพลาๆมือลงบ้าง กลับกลายเป็นไม่ใช่เลย

เรื่องของพล.ต.อ.สมเพียรยังไม่จางไปจากความทรงจำของสังคม ก็มามีเรื่องของ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ขึ้นมาอีกแล้ว

แถมตัวการล้วงโผ และสั่งโยก พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ก็ดูจะเป็นคนๆ เดียวกันกับที่เคยใช้บารมีกีดกัน พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา นั่นเอง... อะไรจะอย่างหนาปานนี้

แม้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะออกมาแก้เกี้ยวในเรื่องนี้ว่า “ไม่ทราบ การเมืองที่ไหน”

ถ้า พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ระบุว่าเป็นนักการเมืองภาคใต้ ก็ขอให้เอาข้อเท็จจริงมา... โดยลืมไปว่า จนป่านนี้กรณีย้ายสลับ พล.ต.อ.สมเพียร ซึ่งอุตส่าห์มาขอชีวิตกับนายอภิสิทธิ์โดยตรงนั้น ยังไม่มีความกระจ่างออกมาให้สังคมได้รับรู้ความจริงเลยว่า เป้นฝีมือใคร

แล้วแบบนี้ใครยังจะเชื่อมั่นในนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”ได้อยู่อีก

เพราะต้องไม่ลืมว่า ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งในรัฐบาลปัจจุบันนี้เต็มไปด้วยเสียงครหาในเรื่อง 2 มาตรฐานจนอื้ออึงไปหมดนั้น แทนที่รัฐบาลจะพยายามทำให้เห็นว่าระบบยุติธรรมยังสามารถพึ่งพาได้ ยังสามารถเชื่อมั่นได้

กลับปล่อยให้เกิดเหตุทั่วไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในฝ่ายตุลาการ ในฝ่ายอัยการ และในฝ่ายตำรวจ

ในสายธารระบบยุติธรรมนั้น ตำรวจถือเป็นต้นธารของระบบยุติธรรม ในฐานะของพนักงานสอบสวน จากนั้นจึงไปสู่ระบบอัยการซึ่งเป้นระบบยุติธรรมในส่วนกลาง สุดท้ายปลายทางกระบวนการยุติธรรมก็จะเป็นชั้นศาล

แต่เมื่อระบบตำรวจเจอความอยุติธรรมเสียเอง เจอการล้วงลูกจัดโผโดยนักการเมือง แล้วแบบนี้ประชาชนจะหวังพึ่งกระบวนการยุติธรรมที่บริสุทธิ์ได้อย่างไร???

ลำพังแค่ในสังคม หากชุมชนใด ตำรวจรู้เห็นเป็นใจกับนักเลง กับผู้มีอิทธิพล ชาวบ้านก็ซวยสาหัสแล้ว

แต่ถ้าประเทศใด ตำรวจกลายเป็นเครื่องมือให้นักการเมือง ประเทศนั้นก็พัง

ดังนั้นบางกอก ทูเดย์ มองว่าการต่อสู้ของ พล.ต.ต.วิสิทธิ์ วานิชบุตร ในครั้งนี้ ไม่ควรจะมองว่าเป็นการต่อสู้เพื่อตนเอง แต่สังคมจะต้องมองว่านี่คือการต่อสู้เพื่อสังคม เป็นการทำเพื่อประชาชนทั้งประเทศจะได้ต้นธารแห่งระบบยุติธรรม ที่มีความยุติธรรมจริงๆ ไม่ถูกกดปุ่มโดยนักการเมือง

ขณะเดียวกันแม้แต่ตำรวจทั้งประเทศ ที่เอือมระอากับพฤติกรรมนักการเมืองบางคนบางกลุ่มที่ล้วงลูกโผตำรวจจนล่ำซำ ก็ควรที่จะช่วยกันทวงคืนศักดิ์ศรีของตำรวจทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่นเดียวกับที่ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ทำ หรืออย่างน้อยก็ควรจะสนับสนุนข้อมูลของ พล.ต.ต.ตรีวิสุทธิ์

อยากรู้เหมือนกันว่า ที่นายอภิสิทธิ์ บอกว่าหากมีข้อมูลว่านักการเมืองทำไม่ดีก็เอามา โดยเฉพาะนักการเมืองภาคใต้นั้น หากตำรวจทั้งประเทศช่วยกันขุดคุ้ยข้อมูลออกมาตีแผ่ ดูซิว่านายอภิสิทธิ์จะทำหน้าอย่างไร

จะกล้าฟันนักการเมืองเหล่านั้นจริงๆหรือไม่?

และพรรคประชาธิปัตย์จะสะดุ้งโหยงกันสักขนาดไหน!!!