เนื่องจากปีนี้ตรงกับวันครบรอบ 4 เดือนเหตุการณ์ 19 พ.ค. 2553
ความเข้มข้นเลยยกระดับเป็นสองแรงบวก
ทุกครั้งที่เหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. เวียนมาบรรจบครบรอบปี
มักจะมีการตั้งวงสรุปบทเรียนกันตลอดเวลาภายใต้หัวข้อคำถามเดิมๆ คือการปฏิวัติของคณะทหารภายใต้ชื่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือคมช. เมื่อ 4 ปีก่อน
นำพาผลลัพธ์อะไรมาสู่บ้านเมืองในปัจจุบัน ดีขึ้นหรือเลวร้ายหนักกว่าเก่า
การจะตอบคำถามนี้ส่วนหนึ่งต้องนำเอาเหตุผล 4 ข้อที่ คมช.ใช้ในการก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นตัวตั้ง
1.รัฐบาลมีการคอร์รัปชั่น 2.รัฐบาลสร้างความแตกแยกให้กับคนในประเทศ 3.รัฐบาลแทรกแซงองค์กรอิสระ และ 4.มีพฤติกรรมเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ภายหลังการรัฐหาร 19 ก.ย. 2549 ประเทศไทยมีรัฐบาลแล้ว 4 ชุด
ชุดแรกคือรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่เข้ามารักษาการอำนาจชั่วคราวระหว่างการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่
เนื่องจากรัฐบาลสุรยุทธ์ ได้อำนาจมาจากรถถังและกระบอกปืน ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากโลกประชาธิปไตย ผลคือทำให้ประเทศชาติหยุดนิ่งเป็นระยะเวลาปีเศษ
การตั้งข้อหาไล่ล่ายึดทรัพย์ทักษิณ มูลค่ากว่า 6 หมื่นล้าน โดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ดูเหมือนเป็นอย่างเดียวที่คืบหน้าอย่างรวดเร็ว
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช.ประกาศแผนบันได 4 ขั้น
1.การยุบพรรคจะต้องเกิดขึ้น 2.ความผิดทางอาญาเรื่องโกงกินคอร์รัปชั่นจะปรากฏ 3.พรรคจะเริ่มแตกและเริ่มวิ่งกระจัดกระจาย และในที่สุดก็สิ้นสุด จากนั้นจะนำมาสู่การลงประชามติรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง
"การเลือกตั้งครั้งหน้าต้องเป็นพรรคที่ทุกคนในฝ่ายบริหารจะต้องรักชาติ ศาสนา กษัตริย์ ทุกอย่างในขณะนี้เดินไปตามขั้นตอนที่วางไว้ ผลผลิตของคตส.กำลังบรรลุเป็นขั้นๆ"
////
ผลเลือกตั้งเดือนธ.ค.2550 สร้างความผิดหวังให้กับฝ่ายโค่นล้มทักษิณอย่างมาก
เนื่องจากพรรคพลังประชาชนหรือไทยรักไทยเดิม ได้รับเลือกกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
โดยมีนายสมัคร สุนทรเวช ที่ประกาศตัวชัดเจนว่าคือ"นอมินี"ของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่แล้วนายสมัคร ต้องกระเด็นตกเก้าอี้ไปด้วยคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญว่าขาดคุณสมบัติ จากการเป็นพิธีกรรายการทำอาหารทางทีวี
เดือนก.ย.2551 สภาโหวตเลือกนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ
ด้วยความที่นายสมชาย เป็น"น้องเขย"ของพ.ต.ท.ทักษิณ ยิ่งทำให้กลุ่มพันธมิตรฯ ที่รวมตัวกันต่อต้านรัฐบาลมาตั้งแต่สมัยนายสมัคร ไม่พอใจ
ยกระดับการชุมนุมเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล และสนามบินในเวลาต่อมา
เดือนธ.ค.2551 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชนอีกรอบ ทำให้นายสมชาย ต้องพ้นจากเก้าอี้นายกฯ ตามหลังนายสมัครไปติดๆ
ในจังหวะนั้นได้เกิดการแปรพักตร์ของ"กลุ่มเพื่อนเนวิน" ที่สลัดทิ้ง"นายใหญ่"หันไปสวามิภักดิ์ฝ่ายตรงข้าม ทำให้การเมืองเกิดการ"พลิกขั้ว"อย่างรุนแรง
กลุ่มเพื่อนเนวิน ผลักดันตัวเองจนกลายเป็นหุ้นส่วนสำคัญในการสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล
เป็นบันไดให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปีนขึ้นสู่จุดสูงสุดทางการเมือง
ทุกอย่างเริ่มกลับสู่เส้นทางบันได 4 ขั้นที่พล.อ.สนธิ เคยวางไว้อีกครั้ง
หลังจากแผนสะดุดไปเมื่อตอนเลือกตั้งธ.ค.2550
อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่อำนาจของพรรคประชาธิปัตย์ถึงจะได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ พรรคการเมือง กลุ่มพันธมิตรฯ และมือที่มองไม่เห็น
แต่หุ้นส่วนอำนาจ 3-4 กลุ่มเหล่านี้เป็นการรวมตัวกันบนความเชื่อที่ว่าหากพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้กลับมามีอำนาจอย่างถาวร ทุกคนก็จะอยู่รอดปลอดภัย
ส่วนเรื่องผลประโยชน์อื่นๆ ทางใครทางมัน นานวันไปจึงทำให้เกิดปัญหาแตกคอกันเอง
การชิงดีชิงเด่น แย่งผลงาน เตะตัดขา วางยากันเองจึงเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นบ่อยๆ
ระหว่างพรรคแกนนำรัฐบาลกับพรรคร่วมรัฐบาล
////
กฎเหล็ก 9 ข้อที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยประกาศไว้อย่างหรูหราในการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่นในหมู่พรรคร่วม รัฐบาล ก็ไม่เคยเป็นจริงในทางปฏิบัติ
บางคนถึงกับระบุปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่ได้ด้อยไปกว่ายุครัฐบาลทักษิณ
การแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมในหลายกระทรวง จัดวางคนของตนเองลงไปในตำแหน่งตั้งแต่ระดับบนลงไปถึงระดับท้องถิ่น กระทั่งถูกยื่นถวายฎีการ้องเรียน
บรรยากาศไม่แตกต่างไปจากการสรรหาแต่งตั้งกรรมการองค์กรอิสระในสมัยรัฐบาลทักษิณ
ส่วนจากที่รัฐบาลสั่งการใช้กำลังทหารติดอาวุธ เข้าปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้มีคนตาย 91 ศพ บาดเจ็บอีก 2,000 คน
การติดตามไล่ล่าคนเสื้อแดงแบบเอาเป็นเอาตาย การจับกุมดำเนินคดีแบบสองมาตรฐาน การดึงสถาบันเบื้องสูงมาเป็นเครื่องมือทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม
ส่งผลให้คนในประเทศแตกแยกอย่างลึกซึ้งและรุนแรงจนไม่อาจเยียวยาสมานฉันท์กัน ได้อีกต่อไป สะท้อนจากการที่แผนปรองดองถูกฉีกทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังสนั่นไปทั่วทุกมุมเมือง
สิ่งเหล่านี้ผสมผสานเป็นแรงกดดันต้องการให้รัฐบาลประกาศยุบสภาเลือกตั้งใหม่ เพื่อใช้เสียงของประชาชนเป็นเครื่องนำพาการเมืองไทยกลับสู่เส้นทางตามระบอบ ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
หลังจากออกนอกลู่นอกทางมานานตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549
ซึ่งเป็นตัวฉุดประเทศถอยหลังในทุกๆ ด้าน