ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Sunday, 7 August 2011

มาร์คโบ้ย เอกสารลับ'ศอฉ.'

ที่มา ข่าวสด

สั่งยิงวัน10เมย. โยนถามเทือก ในฐานะเป็นผอ. 'ทนายแดง'เล็ง ใช้ฟ้องศาลโลก



นรม.สั่ง - เอกสารลับที่มีผู้นำมาเผยแพร่ในเว็บไซต์ อ้างว่าเป็นคำสั่งของศอฉ. ในการผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมและขอคืนพื้นที่ในเหตุ การณ์วันที่ 10 เม.ย.2553 โดยระบุ "นรม." เป็นผู้สั่งการอย่างชัดเจน

มาร์ คปัดไม่รู้เรื่องเอกสารลับ โยนให้ไปถามเทือก ที่คุมศอฉ. ทนายเสื้อแดงชี้รายละเอียดในเอก สารระบุชัด ข้ออ้างเรื่องคนชุดดำโกหกทั้งเพ เชื่อใช้เป็นหลักฐานฟ้องคดีได้ น้องชาย'น้องเกด อาสาพยาบาลที่ถูกยิงในวัดปทุมวนาราม' ลั่นเป็นคำสั่งมิชอบ ชี้ห้ามยิงผู้หญิง-เด็ก แล้วพี่สาวตนและด.ช.อีซาวัย 14 ปี ถูกยิงตายได้อย่างไร ยันเดินหน้าเอาผิดคนสั่งการ ด้านพ่อเหยื่อสไนเปอร์รายแรกครวญลูกชายตกเป็นเหยื่อคำสั่งนี้

เมื่อ วันที่ 6 ส.ค. ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวที่มีเว็บ ไซต์หลายแห่งเผยแพร่แถลงการณ์ของกลุ่ม "ทหารตำรวจประชาธิปไตย 2554" ฉบับที่ 3 ซึ่งอ้างว่าเป็นเอกสารลับของ ศอฉ. เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 โดยมีการระบุให้เจ้าหน้าที่พิจารณาใช้ปืนลูกซองในการป้องกันตนเองของเจ้า หน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์ ว่า ตนไม่ทราบ เพราะเป็นเรื่องของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รักษาการรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ที่กำกับดูแล ศอฉ.อยู่ในขณะนั้น และไม่มีการส่งเรื่องมาให้ตนดู จึงไม่รู้ว่าเป็นเอกสารอะไร ควรจะนำเอกสารนี้ไปให้นาย สุเทพ เผื่อจะรู้

นาย คารม พลทะกลาง ทนายกลุ่มนปช. กล่าวถึงเอกสารคำสั่งการใช้อาวุธต่อกลุ่มผู้ชุมนุมของศอฉ. ว่าเอกสารชิ้นนี้เป็นหลักฐานสำคัญ ที่ย้ำให้เห็นได้ว่าการกล่าวอ้างว่ามีการต่อสู้จากชายชุดดำจนทำให้เจ้า หน้าที่ต้องตอบ โต้นั้นเป็นเรื่องโกหก แต่ที่จริงแล้วเป็น การ เตรียมที่จะมายิงอยู่แล้ว เพียงแต่มีคำสั่งว่ายิงกับใครได้บ้าง ห้ามยิงเด็กและผู้หญิง แสดงว่าคนออกคำสั่งต้องรู้ว่ากลุ่มคนที่เป็นเป้าหมาย มีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก ดังนั้น เรื่องนี้จะต้องนำไปใช้ต่อสู้ในชั้นศาล กับกลุ่มคนที่ถูกฟ้องคดีก่อการร้าย และหากว่ามีชายชุดดำเข้ามาก่อกวน ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก

นายคารม กล่าวว่า สำหรับการฟ้องในข้อหา ฆ่าคนตายโดยเจตนา และพยายามฆ่า ของญาติ ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม สามารถนำเอกสารชิ้นนี้ไปฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐ และผอ.ศอฉ.ในข้อหาดังกล่าวได้เลย ซึ่งตนจะหารือกับญาติผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บอีกครั้งในการยื่นฟ้อง นอกจากนี้จะนำ ส่งเอกสารชิ้นนี้ให้กับนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ ดัม ทนายความของนปช. เพื่อนำไปใช้ประกอบ การฟ้องคดีต่อศาลอาญาระหว่างประเทศด้วย

นายณัท พัช อัคฮาด น้องชายของน.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือน้องเกด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวันปทุมวนารามเมื่อ 19 พ.ค.ปีที่ผ่านมา กล่าวถึงเอกสารลับ จากแถลงการณ์ของกลุ่ม "ทหารตำรวจประชาธิปไตย 2554" ว่า เป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น จะตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดในคำสั่งนี้อีกครั้งว่าหน่วยงานไหนบ้างที่รับคำ สั่งนี้ไปปฏิบัติการในการปราบปรามฆ่าประชาชนปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งจะออกมาเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพี่สาวตนและ ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บอีกจำนวนมากในทั้ง 2 เหตุการณ์ เพราะการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนนั้นมาจากคำสั่งลับใบนี้ และวันนี้ก็ถูกเปิดเผยความจริงออกมา

นายณัทพัชกล่าวต่อว่า ผ่านมากว่า 1 ปี ผู้เสียชีวิตที่บริสุทธิ์ทั้ง 2 เหตุการณ์ในเดือนเม.ย.-พ.ค.53 เหล่านั้นก็ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม ผู้บาดเจ็บที่ไม่รู้เรื่องและไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายหรือชายชุดดำ ที่นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพกล่าวหา นอกจากนั้นผู้บาดเจ็บก็ยังไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ดังนั้น จะเดินหน้าค้นหาความจริงให้ถึงที่สุด จนกว่าจะได้ตัวฆาตกรที่ฆ่าและสั่งฆ่าประชาชนนี้มาเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย

น้อง ชายน้องเกดกล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบข้อความแต่ละข้อในคำสั่งลับฉบับนี้ พบว่ามีข้อที่ 2.2 ระบุให้ใช้อาวุธต่อเป้าหมาย ในระยะ 30-50 เมตร ทั้งนี้ เพื่อเป็นการควบคุมวิถีกระสุนและควบคุมความเสียหายที่จะเกิดขึ้นให้สมควรแก่ เหตุ และห้ามใช้อาวุธต่อเป้าหมายที่เป็นผู้หญิงและเด็ก

"ผมขอตั้งคำ ถามว่าแล้วพี่สาวของผมที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามนั้นเป็นผู้หญิงใช่ หรือไม่ นอกจากนี้ยังมี ด.ช.อีซา อายุ 14 ปี ที่ถูกยิงตายย่านบ่อนไก่ ก่อนที่ศพจะถูกนำไปฝังแบบไม่มีญาติที่สุสาน จ.ชลบุรี อยากถามว่าใช่เด็กหรือไม่ ซึ่งพี่สาวผมและน้องอีซาที่เสียชีวิตในครั้งนี้ก็เพราะคำสั่งฉบับนี้ จะต้องมีคนรับผิดชอบ"

นายณัทพัชกล่าวย้ำว่า คำสั่งกับการปฏิบัติจริงมันคนละทาง ในพื้นที่เกิดเหตุจริงมันโหดร้ายกว่าที่นายอภิสิทธิ์เขียนไว้มาก ยิงมั่วแม้กระทั่งผู้หญิง คนแก่ และเด็กที่หลบอยู่ในวัดปทุมวนาราม และพื้นที่อื่นๆ

ด้านนายสำราญ วางาม บิดาของนายสวาท วางาม เหยื่อสไนเปอร์รายแรกบริเวณสี่แยกคอกวัว กล่าวว่า ลูกชายของตนก็ตกเป็นเหยื่อของคำสั่งลับ ศอฉ.ฉบับนี้เป็นรายแรก โดยถูกสไนเปอร์ยิงระยะไกลสมองกระจายเสียชีวิตคาที่ ก่อนเกิดเหตุตนพร้อมลูกชายอีก 2 คนได้ไปร่วมชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านรัฐประหารร่วมกับกลุ่มคน เสื้อแดงกันมาตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. เรื่อยมาจนถึง 10 เม.ย. ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและแยกคอกวัว และในวันที่ 10 เม.ย.นั้น ตั้งแต่ช่วงเช้าสถานการณ์ตึงเครียดตลอดทั้งวัน มีเฮลิคอปเตอร์บินวนเพื่อโปรยใบปลิวให้พวกเราออกจากพื้นที่ ขณะเดียวกันก็มีคนเสื้อแดงยิงพลุตะไลขึ้นฟ้าเพื่อขับไล่เฮลิคอปเตอร์แต่ไม่ โดนใคร จนกระทั่งช่วงเย็นถึงค่ำสถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น เจ้าหน้าที่จาก ศอฉ.เริ่ม ประชิดเข้ามาถึงคอกวัว พร้อมอาวุธนานาชนิด รวมทั้งรถหุ้มเกราะและรถถังกว่า 10 คัน มาจอดประจันหน้ากับคนเสื้อแดง และพอฟ้ามืดก็เริ่มมีเสียงปืน ขณะเดียวกันทราบว่าคนเสื้อแดงสามารถยึดอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ได้กว่า 500 กระบอก ก่อนจะนำไปที่เวทีใหญ่ สะพานผ่านฟ้าฯ

นายสำราญกล่าวต่อว่า ช่วงประจันหน้ากับเจ้าหน้าที่ ศอฉ.ที่คอกวัว พบว่าแถวหน้าส่วนใหญ่เป็นเด็กและสตรี ก็ถูกยิง ถูกแก๊สน้ำตาไปหลายคน ก่อนจะบอกให้ผู้หญิงและเด็กถอยออกมาเพื่อให้ผู้ชายเข้าไปอยู่แถวหน้าแทน ซึ่งจะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่สนใจว่าจะเป็นใครก็เพราะว่าได้รับคำสั่งมาให้ ยึดพื้นที่คืนให้ได้เท่านั้น ใครจะตายไม่สน ซึ่งเป็นครั้งแรกในไทยที่มีการเข้าสลายช่วงกลางคืน ซึ่งทั่วโลกไม่มีใครทำกัน อย่างไรก็ตามคำสั่ง ศอฉ. ที่ถูกเปิดเผยออกมาก็มีความชัดเจนมากขึ้นว่าใครสั่งการสลายในครั้งนี้ ในฐานะที่ตนเป็นผู้เสียหายด้วยก็ยืนยันว่าจะเดินหน้าต่อสู้เพื่อเรียกร้อง ความเป็นธรรมให้กับลูกชายต่อไป

นายสำราญกล่าวด้วยว่า ในส่วนของการเสียชีวิตของลูกชายตนนั้นตนก็เกือบที่จะไม่ได้ร่างออกมาจากจุด เกิดเหตุ เนื่องจากมีกลุ่มเจ้าหน้าที่พยายามที่จะเข้ามานำเอาศพลูกชายขึ้นรถหุ้มเกราะ ไป แต่ถูกคนเสื้อแดงช่วยสกัดและตนก็กอดร่างลูกชายไว้แน่นจึงไม่สามารถเอาไปได้ และเห็นมีหลายร่างที่ถูกโยนเข้าไปในรถหุ้มเกราะและรถขยะสีเขียวซึ่งไม่ทราบ ชะตากรรม และทราบมาว่ามีการแจ้งคนหายช่วงการชุมนุมนี้ โดยเป็นข้อมูลจากบ้านเลขที่ 111 ที่ดำเนินการเรื่องนี้อยู่

"และใน วันที่ 9 ส.ค.นี้เวลา 10.00 น.ทางพรรคเพื่อไทยได้เรียกประชุมญาติผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 10 เม.ย.53 ที่พรรค เพื่อหารือเกี่ยวกับขั้นตอนการฌาปนกิจศพของผู้เสียชีวิตที่ยังคงเก็บไว้ตาม วัดต่างๆ ซึ่งมีทั้งสิ้น 7 ศพ เก็บอยู่ที่วัดพลับพลาไชย 1 โดยจะมีกำหนดการเผาพร้อมกันในวันที่ 16 ต.ค.54 ที่วัดบำเพ็ญเหนือ ย่านมีนบุรี และในช่วงเช้าวันที่ 10 ส.ค.นี้ตนและญาติผู้เสียชีวิตรายอื่นๆ จะไปร่วมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตาย ที่วัดพลับพลาไชย 1" นายสำราญกล่าว

ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีเว็บไซต์หลายแห่งเผยแพร่แถลงการณ์ของกลุ่มบุคคลที่อ้าง ชื่อ "ทหารตำรวจประชาธิปไตย 2554" เปิดเผยเอกสารลับที่อ้างว่าออกมาจากศอฉ. ว่า ทราบจากสื่อ แต่ยังไม่ได้ดูในรายละเอียด จึงต้องใช้เวลาในการตรวจสอบว่าเอกสารที่มีการเผยเป็นเอกสารฉบับจริงหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เนื่องจากไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ดำเนินการ

"พรรค เพื่อไทยต้องตรวจสอบก่อนว่าเอก สารดังกล่าวเป็นของจริงหรือมีการทำปลอมขึ้นมาเพื่อหวังผลอะไรหรือไม่ที่นำ ออกมาเผยแพร่ หากเป็นเอกสารที่มีการทำขึ้นมาจะส่งผลเสียหายตามมาภายหลังได้ จึงต้องขอเวลาในการตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความชัดเจน หากพบว่ามีการกระทำที่ไม่ถูกต้องก็ต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไรต่อไป" นายพร้อมพงศ์กล่าว

นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า เรื่องดังกล่าวผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ในฐานะผอ.ศอฉ.ควรออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงว่ามีการออกคำสั่งดังกล่าวหรือไม่ เพื่อให้เกิดความกระจ่าง รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ดูแลทั้งคณะกรรมการอิสระค้นหาและตรวจสอบ ความจริงเพื่อความปรองดอง (คอป.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ควรมีส่วนในการตรวจสอบเช่นเดียวกัน และถ้ามีการใช้อาวุธจริงเข้าสลายการชุมนุม ผู้ที่สั่งการควรแสดงความรับผิดชอบให้ชัดเจน