โดย หมอแมว
ที่มา เว็บไซต์พันทิป
5 กรกฎาคม 2555
การนำเสนอข่าวและผลสืบเนื่องอันเกี่ยวกับการจบชีวิตตนเอง
บทความต่อจากนี้เนื้อหาส่วนมากมาจาก preventing suicide a resource for media professionals โดยองค์การอนามัยโลกและ องค์การป้องกันการฆ่าตัวตายสากล ฉบับปี2008
และ Reporting on suicide:Recommendation for the media ที่จัดทำโดยองค์กรชั้นนำนานาชาติด้านสุขภาพ-
ก่อนจะเข้าไปในรายละเอียด เรามาดูถึงสิ่งที่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนทำได้เพื่อสังคมในประเด็นเรื่องการฆ่าตัวตายครับ สิ่งที่สื่อทำได้คือ
- การใช้โอกาสนำเสนอข่าวนี้ เพื่อจุดประสงค์หลักในการให้ความรู้สังคมเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย
- หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาที่อ่อนไหวกระทบกระเทือนใจ ภาษาที่ทำให้การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องปกติ หรือบอกว่ามันคือทางออกของปัญหาชีวิตนั้น
- หลีกเลี่ยงการระบุสถานที่หรือการเล่าเท้าความถึงเหตุการณ์นั้นซ้ำๆในข่าว
- หลีกเลี่ยงวิธีการ อุปกรณ์ หรือข้อมูลในเหตุการฆ่าตัวตาย
- หลีกเลี่ยงการระบุถึงรายละเอียดของพื้นที่เกิดเหตุในเนื้อข่าว
- ใช้คำพาดหัวอย่างระวัง
- ระวังการเสนอรูปและภาพข่าว
- ระวังการเสนอข่าวฆ่าตัวตายของคนที่เป็นที่รู้จักในสังคม
- ระวังและให้ความเคารพสิทธิของผู้ที่กำลังเสียใจจากเหตุการณ์ฆ่าตัวตายนั้น
- ต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่และวิธีการขอความช่วยเหลือหากมีความคิดฆ่าตัวตาย
- นักข่าวที่นำเสนอข่าวเหล่านี้ต้องระวังอาจได้รับผลชักจูงให้เกิดความคิดฆ่าตัวตายรัฐ-และการฆ่าตัวตาย10องค์กร
ปัจจุบัน นี้เป็นที่รู้กันอย่างชัดเจนและปราศจากข้อสงสัยแล้วว่าการฆ่าตัวตายนั้น สามารถถูกชักนำได้โดยการนำเสนอของสื่อในแขนงต่างๆ โดยรายงานแรกที่โด่งดังสามารถย้อนไปได้ตั้งแต่สมัยปีคศ.1774 ซึ่งในยุคนั้นมีนิยายเรื่อง "The Sorrows of Young Werther" ตีพิมพ์ออกมาและก่อให้เกิดกระแสการฆ่าตัวตายเลียนแบบขึ้นทั่วภาคพื้นยุโรป โดยผู้ตายจะใส่ชุดเลียนแบบตัวละครที่ตายแล้วใช้วิธีการจบชีวิตเหมือนกับตัว ละคร หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า "Werther effect"นี้ขึ้น ทำให้ประเทศในแถบยุโรปหลายประเทศทำการแบนหนังสือเล่มนี้ในประเทศของตนไป
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาทั้งในสหรัฐ ประเทศทางยุโรป ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น รวมกันกว่า50งานวิจัยสำคัญ ที่ส่วนมากชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าสื่อสารมวลชนมีส่วนสำคัญในการสร้างการ ฆ่าตัวตาย ดังเช่นงานวิจัยในปี1981-82ของ Bollen & Phillips ที่แสดงถึงการพาดหัวข่าวฆ่าตัวตายหรือรายการทีวีที่เจาะลึกการฆ่าตัวตาย ว่าเพิ่มอัตราการฆ่าตัวตายของชาวสหรัฐหลังจากการนำเสนอ , งานวิจัยของ Motto 1970 ที่พบว่าในช่วงที่หนังสือพิมพ์ทำการหยุดงานประท้วงและไม่มีการนำเสนอข่าว อัตราการฆ่าตัวตายได้ลดลง Stack 1990 ที่หนังสือพิมพ์NewYorks times นำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายทั้งหน้าหนึ่งและเจาะลึกรวมทั้งข่าวการหย่าร้าง ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีกรณีที่เวียนนาออสเตรีย ที่นักข่าวนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายแบบเข้มข้นในปี1984-1987ชนิดลงรายละเอียด และสถานที่วิธีการ จากนั้นเมื่อปี1987ได้มีการปรับปรุงการทำงานของสื่อและปลูกจิตสำนึกให้ ตระหนักถึงความเลวร้ายที่เกิดขึ้นตามหลังการนำเสนอข่าว พบว่าเมื่อนักข่าวได้ทำการเปลี่ยนแปลงการนำเสนอข่าว ก็ทำให้ปรากฎการณ์ฆ่าตัวตายโดยการกระโดดให้รถไฟทับในทางรถไฟใต้ดินกรุง เวียนนาลดลงถึง 80% และอัตราการฆ่าตัวตายทั่วประเทศลดลง20%ภายในเวลาเพียง6เดือนเลยทีเดียว
วิธีที่สื่อสารมวลชนสามารถทำได้เพื่อสังคมในประเด็นการฆ่าตัวตายตามแต่ละหัวข้อมีรายละเอียดดังนี้ครับ
1. ใช้โอกาสนำเสนอข่าวนี้ เพื่อจุดประสงค์หลักในการให้ความรู้สังคมเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย
การฆ่าตัวตายยังเป็นสิ่งที่คนทั่ว ไปเข้าใจผิดอย่างมากครับ และสื่อมีศักยภาพในการแก้ไขความเชื่อที่ดๆนั้น การฆ่าตัวตายของบุคคลหนึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดี่ยวๆ ไม่มีการฆ่าตัวตายใดที่เกิดมาจากการอกหักอย่างเดียว การสอบตกเรียนไม่ดีแต่อย่างเดียว การฆ่าตัวตายเกือบทั้งหมดมีความผิดปกติทางร่างกายในกลุ่มโรคซึมเศร้า-อารมณ์ แปรปรวน-หรือการใช้สารเสพติด(เหล้าและอื่นๆ)เสมอการด่วนนำเสนอข่าวที่ทำให้กลายเป็นสาเหตุธรรมดาๆง่ายๆมีเหตุผลฆ่าตัว ตายอย่างเดียวเป็นสิ่งที่ไม่สมควรและอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดหลายๆอย่างที่ อาจจะเกิดแก่คนใกล้ชิดหรือญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต
ควรนำเสนอข่าวโดยหาสาเหตุที่แท้จริงและไม่ด่วนสรุปสาเหตุเบื้องต้นใดๆลงไป
2. หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาที่อ่อนไหวกระทบกระเทือนใจ ภาษาที่ทำให้การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องปกติ หรือบอกว่ามันคือทางออกของปัญหาชีวิตนั้น
ที่จริงแล้ววิชาชีพสื่อสารมวลชนคือ
วิชาชีพที่รู้ถึงพลังแห่งการใช้ภาษาดีกว่าแขนงอาชีพและวิชาชีพอื่นๆ
ภาษาที่ใช้นั้นต้องระบุให้เห็นว่าปัญหาฆ่าตัวตายคือสิ่งที่เป็นปัญหาสังคม
ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ไม่ใช่คำหรือวาทกรรมในการอธิบายการฆ่าตัวตาย
(เช่น ใช้คำว่าอัตราการฆ่าตัวตายมีมากขึ้น แทนการใช้คำว่า มหกรรมฆ่าตัวตาย กระแสฆ่าตัวตาย แฟชั่นฆ่าตัวตาย)
หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่ตัดสินว่าการฆ่าตัวตายถูกต้อง เช่นบอกว่าเป็นการเลือกทางออกอย่างกล้าหาญ
หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่ตัดสินว่าการฆ่าตัวตายนั้นผิดอย่างใช้อารมณ์ เช่น
การศึกษาไม่ช่วยอะไร คนโง่ คนบาป เกิดใหม่ต้องมาฆ่าตัวตาย100ชาติ
สิ่งที่ควรนำเสนออย่างถูกต้องคือการนำเสนอข้อเท็จจริงแบบไม่มีความเห็น
3. หลีกเลี่ยงเน้นย้ำ ทำให้เด่นหรือการเล่าเท้าความถึงเหตุการณ์นั้นซ้ำๆในข่าว
ข่าวการฆ่าตัวตายไม่ควรอยู่บนหน้า
หนึ่ง เพราะมีความชัดเจนว่าเป็นเหตุที่ทำให้เกิดการเลียนแบบมากขึ้น
รวมทั้งการนำเสนอในสื่อโทรทัศน์วิทยุควรนำไว้เป็นข่าวที่ไม่ใช่ข่าวเด่น
ไม่ควรอยู่เบรกแรกหรือเบรกที่สอง
นอกจากนี้หากมีการนำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรเล่าเหตุการณ์ซ้ำแต่ควรเท้าความเพียงสั้นๆ
4. หลีกเลี่ยงวิธีการ อุปกรณ์ หรือข้อมูลในเหตุการฆ่าตัวตาย
การบอกถึงวิธีเพียงว่าเสียชีวิต
หรือฆ่าตัวตายนั้นความจริงก็เพียงพอแล้ว
หรือหากบอกถึงวิธีการก็ควรบอกเพียงชื่อวิธี
ไม่ควรนำเสนอลงไปในรายละเอียดไม่ว่าจะเป็นวิธีการแบบStep-by-step หรือ DIY
ทำเองก็ได้ง่ายจัง
หากเป็นการใช้ยาหรือสารต่างๆในการฆ่าตัวตาย หากคิดจะบอกก็บอกเพียงว่า ยา-สารพิษ ไม่ควรลงลึกไปถึงชื่อ ขนาด และวิธี
การฆ่าตัวตายที่มีลักษณะแปลกพิศดาร เป็นข่าวที่มักจะได้รับความสนใจ
เพราะในขณะที่มันเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการรายงานข่าว
แต่ในเวลาเดียวกันมันจะทำให้เกิดการฆ่าตัวตายเลียนแบบได้มากกว่าปกติ
5. หลีกเลี่ยงการระบุถึงรายละเอียดของพื้นที่เกิดเหตุในเนื้อข่าว
การระบุรายละเอียดของสถานที่นั้นๆ
จะก่อให้เกิดผลคือ สถานที่นั้นอาจจะมีชื่อและนิยมเดินทางไปฆ่าตัวตาย
(เช่นป่ารอบฟูจิ;บอกได้เพราะคนไทยคงไม่ไปหรอก
นอกจากวิ่งตอน3ทุ่มแล้วทะลุมิติออกจากเมืองไปอยู่ในป่า)
ไม่ระบุถึงสถานที่นั้นแบบรายละเอียด ... เช่นกระโดดตึกก็กระโดดตึก
แต่ไม่ลงไปว่าตึกนี้มีคนมาฆ่าตัวตายแล้วกี่คน
เสาต้นนี้อาถรรพ์หล่นลงมาคาทุกทีอะไรแนวนี้
6. ใช้คำพาดหัวอย่างระวัง
พาดหัวข่าวคือสิ่งที่มีผลต่อการเลียนแบบการจบชีวิตของตนเองของคนที่อ่าน ต้องเลือกใช้อย่างระมัดระวัง
โดยคำที่ไม่ควรใช้ในพาดหัวข่าวก็คือคำว่า "ฆ่าตัวตาย"
นอกจากนั้นก็คือคำอื่นๆที่แสดงถึงการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย (แขวนคอ
โดดสะพาน นอนให้รถไฟทับฯลฯ)
7. ระวังการเสนอรูปและภาพข่าว
ไม่ควรใช้รูปถ่าย ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวของสถานที่เกิดเหตุหรือหากนำเสนอต้องให้คนดูคนอ่านดูไม่ออกว่ามันคือที่ไหน
ไม่ควรตีพิมพ์หรือนำเสนอจดหมายลาตาย
ไม่นำเสนอภาพหรืออะไรที่ระบุตัวตนของผู้ที่ฆ่าตัวตายหรือผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย
และที่สำคัญที่สุด
ไม่นำเสนอภาพร่างผู้เสียชีวิต(ไม่ว่าจะปิดหน้าเซ็นเซอร์หรือยังไง)
นอกเสียจากจะได้คำยินยอมแบบชัดเจนและระบุเหตุผลในการถ่ายรวมทั้งประโยชน์ใน
การนำเสนอ(ถ้ามี)เป็นลายลักษณ์อักษรจากญาติสายตรงของผู้เสียชีวิต
(จากภาพในความเห็นเมื่อครู่
คาดว่าด้วยจรรยาวิชาชีพนักข่าวและความเป็นมืออาชีพของหนังสือพิมพ์ที่มียอด
ขายสูงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ
มั่นใจได้ว่าเค้าต้องขออนุญาตญาติถ่ายภาพมาแล้วแน่นอน ไม่มีพลาดแน่ๆ)
8. ระวังการเสนอข่าวฆ่าตัวตายของคนที่เป็นที่รู้จักในสังคม
การนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายของคนดัง
แม้จะเป็นเนื้อข่าวอันพิเศษสุดเหมาะสมแก่การติดตาม
แต่ต้องระมัดระวังนำเสนอข่าวอย่าให้โดดเด่น
ไม่นำเสนอการฆ่าตัวตายแบบโรแมนติกหรือสวยงาม ไม่บอกวิธีการฆ่าตัวตาย
หากแต่ควรนำเสนอผลกระทบที่เกิดจากการตายของบุคคลนั้นมากกว่า
9. ระวังและให้ความเคารพสิทธิของผู้ที่กำลังเสียใจจากเหตุการณ์ฆ่าตัวตายนั้น
ญาติมิตรคนใกล้ชิดของผู้ตายที่
เพิ่งตายใหม่ๆเอง จะมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายซ้อนได้สูง
การสัมภาษณ์ใดๆที่จะทำ ควรทำอย่างระมัดระวังขั้นสูง
เพราะอาจก่อให้เกิดความกระทบกระเทือนจิตใจ
ไม่ควรเน้นย้ำถามสาเหตุที่เป็นไปได้จากญาติหรือผู้ใกล้ชิด
เพราะเกือบทั้งหมดจะไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง(ถ้าทราบ
ผู้ป่วยต้องไม่ตาย)นอกจากนี้ยังเสี่ยงกับการไปคาดคั้นหาสาเหตุหรือหาอาการนำ
ก่อนฆ่าตัวตายแล้วไปฝังความคิดว่าเป็ฯความผิดบาปเลวร้ายของคนใกล้ชิดที่ดูแล
ไม่ดีแล้วทำให้คนๆนั้นต้องฆ่าตัวตาย
ความเป็นส่วนตัวและความเห็นอกเห็นใจแก่ญาติผู้เสียชีวิตต้องมาเป็นอันดับหนึ่งก่อนข่าว
10. ต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่และวิธีการขอความช่วยเหลือหากมีความคิดฆ่าตัวตาย
การนำเสนอข่าวฆ่าตัวตาย
เมื่อปิดท้ายต้องเสนอทางออก บอกวิธีแก้ไข เบอร์สายด่วน
หรือสถานที่ให้ความช่วยเหลืออย่างชัดเจน
(อย่าบอกแค่ว่าควรไปพบหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง)
การให้ข้อมูลความช่วยเหลือปิดท้าย จะสามารถลดผลที่ตามมาจากการนำเสนอข่าว
หากมีผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตายกำลังดูอยู่
นอกจากจะไม่เป็นการกระตุ้นให้ฆ่าตัวตายเลียนแบบ
ยังจะสามารถทำให้เขาเห็นทางออกได้
อย่าลืมครับว่าผู้ที่คิดฆ่าตัวตายส่วนใหญ่คือผู้ป่วยซึมเศร้าและอารมณ์แปร
ปรวน ในภาวะที่กำลังแย่เค้าจะไม่ไปหาเบอร์สายด่วนเอง
ดังนั้นในข่าวที่เสี่ยงต่อการกระตุ้นให้คนกลุ่มนี้ฆ่าตัวตายตาม
เราต้องใส่ข้อมูลทางออกทางแก้ไขไว้เสมอ
11. นักข่าวที่นำเสนอข่าวเหล่านี้ต้องระวังอาจได้รับผลชักจูงให้เกิดความคิดฆ่าตัวตาย
นักข่าวก็เป็นมนุษย์ เป็นคน
มีชีวิตและจิตใจ มีความไม่รู้เหมือนกับคนทุกคน
แม้ว่าหลายๆคนจะมีความเป็นมืออาชีพและจิตวิญญาณแห่งความเป็นนักข่าวสูงเพียง
ใด
แต่ความเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้าอย่างไม่รู้ตัวแล้วได้รับผลกระทบจากการ
ติดตามข่าวจะสูงกว่าประชาชนทั่วไปเพราะจะรู้ข้อมูลและความดราม่าของข่าว
มากกว่าปกติ
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความเป็นมืออาชีพ ไม่เกี่ยวกับความกล้า ไม่เกี่ยวกับความเข้มแข็งของจิตใจ แต่เกี่ยวกับสารสื่อประสาทในสมอง
ดังนั้นนักข่าวต้องพึงระลึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อสัมผัสข่าวมากๆ และหาทางออกให้ตนเองไว้เสมอ
ภาพข้างต้น ขอให้เครดิตก่อนนะครับ มาจากเดลินิวส์ ไทยรัฐ และคมชัดลึก
เรื่องพวกนี้ไม่เข้าใครออกใคร ใครๆก็ซึมเศร้าได้ ไม่ใช่เรื่องบาปกรรมสนองแต่อย่างใด
ผู้ที่เขียนข่าวในวิชาชีพนักข่าวเหล่านี้ก็ระมัดระวังตัวกันนะครับ เป็นห่วง
แหล่งข่าวความรู้เกี่ยวกับการให้คำแนะนำเรื่องภาวะฆ่าตัวตายและโรคที่เกี่ยวข้อง
วิชาชีพสื่อสารมวลชนต้องเก่งในทางการนำเสนอและการให้ข้อมูลประชาชน
แต่ข้อมูลบางอย่าง ความเชื่อ ความรู้ ทัศนคติ
เกี่ยวกับการฆ่าตัวตายอาจจะไม่เชี่ยวชาญ
การขอความรู้หรือศึกษาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เบื้องต้นที่ที่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ ได้แก่
สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย : http://www.psychiatry.or.th
ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย http://www.rcpsycht.org
โครงการช่วยเหลือผู้ที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย http://www.suicidethai.com
ร่วมมือกันนะครับ เพื่อสังคมไทยยิ้มละไมคืนชีวิตสู่สังคม
เอกสารอ่านเพิ่มเติม
- Hendin H.,et al. Epidemiology of suicide in asia. Suicide and suicide prevention in asia
- Understanding suicide fact sheet 2010 . www.cdc.gov/violenceprevention
- ศุภรัตน์ เอกอัศวินใ การพยายามฆ่าตัวตายซ้ำในวัยรุ่นที่แผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลจิตเวช . Journal of Mental Health of Thailand 2004;12;40-49
- Sriruenthong W,et al.The suicidality in THai population : National survey .วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ;56;414-424
- Reporting on suicide:Recommendation for the media. จัดทำโดย CDC และอีก9สมาคม โดยความร่วมมือกับ WHO
- Preventing suicide a resource for media professionals. จัดทำโดยWHOและIASP
- Jarassaeng N,et al.Suicidal risk in major depressive disorder at the OPD Section in Srinagarind hospital, Faculty of medicine, Khon Kaen university วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย.2554;56;130-135
- แนวทางการจัดการโรคซึมเศร้าสำหรับแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปในสถานบริการระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิ ;กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
- Gould M. Suicide and the media. Annals New York Academy of Sciences.200-224
- Power point "การฆ่าตัวตายในเด็กและวัยรุ่น" ของ พญ.นิดา ลิ้มสุวรรณ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ หน่วยจิตเวชเด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลรามาธิบดี
- Power point "การฆ่าตัวตาย อันวินิบาตกรรม" ของ รศ.พญ.สุจิรา จรัลศิลป์
- คู่มือการป้องกันและช่วยเหลือ ผู้ที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสำหรับบุคลากรทางสาธารณสุข โดย โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่น กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข 16ตค.2543
(สำหรับแนวทางสำหรับสื่อมวลชน หาโหลดต้นฉบับจริงได้จากหัวข้อ5-6ก็ได้ครับ)
ปล. ตัวอย่างการเขียนที่ต้องระมัดระวังการใช้คำ เพราะคนอ่านที่ไม่ได้เป็นนักข่าวหรือคนที่เป็นญาติอาจจะไม่ชอบคำเหล่านี้ ในภาวะที่น่าเศร้าเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องเหมาะที่จะไปทำให้ญาติเสียใจกับเรื่องแบบนี้
ปอ. ส่วนมากญาติจะเครียดครับ
ปฮ. สุดท้ายนี้ กระทู้นี้ไม่ได้ว่าใคร แต่ว่าแค่อยากบอกในฐานะแพทย์
ที่เรื่องแบบนี้มีงานวิจัยรองรับจริงว่าสื่อมีผล
และมีเอกสารสากลที่ระบุแนวทาง ภาพ
ทั้งหลายนั้นเป็นภาพจริงไม่ได้ตัดต่อ
แต่ลบบางอย่างที่ผมเห็นว่าน่าจะกระทบกระเทือนใจออกและใส่คำพูดบางอย่างลงไป
ตามเนื้อผ้าตามหลักMedical ไม่ใช่ในหลักนักข่าว
ผมเป็นแค่หมอครับ แม้จะทราบหลักการทางการแพทย์
หรือรู้เรื่องจิตวิทยาอยู่บ้างนิดนึง
แต่ไม่อาจก้าวล่วงไปวิจารณ์การทำงานของสายวิชาชีพที่ผมไม่มีความชำนาญ
ดังนั้นจึงทำได้เพียงเสนอกระทู้นี้แบบบังอาจสอนจรเข้ว่ายน้ำว่าในสากลเขามีหลักปฏิบัติแบบใด
สวัสดีครับ เมี้ยว