ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Saturday, 23 June 2012

สุธาชัย ยิ่มประเสริฐ: ๘๐ ปีวันชาติไทย

ที่มา ประชาไท


“ยี่สิบสี่มิถุนา ยนมหาศรีสวัสดิ์
ปฐมฤกษ์ของรัฐ ธรรมนูญของไทย
เริ่มระบอบแบบอา -รยประชาธิปไตย
เพื่อราษฎรไทย ได้สิทธิเสรี
สำราญสำเริง บันเทิงเต็มที่
เพราะชาติเรามี เอกราชสมบูรณ์”
 
บทเพลง ๒๔ มิถุนายนนี้ สะท้อนถึงความสำคัญของเหตุการณ์ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ ซึ่งเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทย เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ โดยคณะราษฎร ที่นำโดย พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ทำการยึดอำนาจดำเนินการให้ก่อเกิดรัฐธรรมนูญมาเป็นมิ่งขวัญของประชาชนชาว ไทย และนำมาสู่คำขวัญที่ว่า “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และ รัฐธรรมนูญ” และอันที่จริงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ยังมีฐานะเป็นวันชาติของไทยอีกด้วย ดังนั้น ปี พ.ศ.๒๕๕๕ นี้ ซึ่งเป็นโอกาสครบรอบ ๘๐ ปี แห่งกรณี ๒๔ มิถุนา จึงต้องถือเป็นปีมหามงคลสมัยของประชาชนไทยอย่างแท้จริง
 
การปฏิวัติในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายประการ เช่น การยอมรับอำนาจทางการเมืองของราษฎรสามัญว่า สามารถที่จะมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศได้โดยผ่านการเลือกตั้ง ให้ชาวไทยได้มีสิทธิเสรีภาพ และมีความเสมอภาคกันภายใต้กฏหมาย ไม่ใช่เจ้าอยู่สูงกว่าราษฎร ต่อมาก็คือ การใช้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด อันนำมาซึ่งการปกครองโดยกฎหมาย แทนที่การปกครองด้วยพระบรมราชโองการในแบบเดิม การใช้หลักการแบ่งแยกอำนาจเป็นสาม และการบริหารด้วยคณะรัฐมนตรีตามกรอบเวลาที่กำหนด ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ ที่สำคัญคือการสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งหมายถึงการสิ้นสุดของการบริหารที่อำนาจอยู่ในมือของคนเดียว บริหารประเทศแบบไม่มีกรอบเวลา
 
คงต้องย้อนไปอธิบายให้ชัดเจนว่า การปฏิวัติ ๒๔๗๕ เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตอย่างรอบด้าน เพราะตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๒ เกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และนำมาซึ่งการตกต่ำครั้งใหญ่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ กรณีนี้กลายเป็นปัญหาของระบอบการปกครอง เพราะถ้าเป็นประชาธิปไตยแบบปัจจุบัน ถ้ารัฐบาลล้มเหลวในการแก้ปัญหา ประชาชนยังมีโอกาสในการเปลี่ยนรัฐบาลโดยผ่านกลไกรัฐสภา หรือผ่านการเลือกตั้ง แต่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โอกาสเช่นนั้นไม่มี ปัญหาของระบอบก็คือ ความผิดพลาดในการบริหารของรัฐบาล กลายเป็นความรับผิดชอบของพระเจ้าอยู่หัวด้วย ดังนั้น จึงมีการอธิบายกันด้วยซ้ำว่า การปฏิวัติของคณะราษฎรเป็นการผ่อนเบาพระราชภาระ และเป็นการรักษาเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ และการที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯพระราชทานอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชนมาแล้ว นั้น เป็นการมอบในเชิงสถาบัน จึงไม่สามารถรับคืนได้ ความความพยายามในการถวายคืนพระราชอำนาจแก่พระมหากษัตริย์ที่กระทำกัน จึงเป็นการหมิ่นพระเกียรติเป็นอย่างยิ่ง
 
จากนั้น วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ จึงถือเป็นวันสำคัญที่มีความหมายแก่ประวัติศาสตร์ประชาชนไทย และวันนี้ยิ่งสำคัญมากขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๒ รัฐบาลหลวงพิบูลสงคราม ประกาศให้วันที่ ๒๔ มิถุนายน เป็นวันชาติของประเทศไทย โดยครั้งแรกเรียกว่า “วันชาติและวันฉลองสนธิสัญญา” เพราะปี พ.ศ.๒๔๘๒ จะเป็นครั้งแรกที่ประเทศได้เอกราชสมบูรณ์ หลังจากที่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาเสียเปรียบมาตั้งแต่สัญญาบาวริง พ.ศ.๒๓๙๘
 
จากนั้น ประเทศไทยก็มีการเฉลิมฉลองวันชาติเรื่อยมา จนกระทั่ง รัฐบาลเผด็จการสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยกเลิกวันที่ ๒๔ มิถุนายนเป็นวันชาติ และให้ใช้วันที่ ๕ ธันวาคม เป็นวันชาติแทน เรียกในปฏิทินว่า “วันชาติและวันเฉลิมพระชนม์พรรษา” แต่ปรากฏว่า วันที่ ๕ ธันวาคมนั้นเป็นวันสำคัญที่อุ้มเอาความหมายของสถาบันพระมหากษัตริย์ และต่อมาก็ได้มีการรณรงค์ให้เป็นวันพ่อของแผ่นดิน ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์จึงกลบลบความสำคัญของวันชาติไป และในปฏิทินทั่วไปก็เลิกเรียกวันชาติไปนานแล้ว ทำให้สังคมไทยในระยะหลังไม่ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของวันชาติ
 
ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่หลัง พ.ศ.๒๔๙๐ เป็นต้นมา เกิดการแพร่หลายของวาทกรรมฝ่ายนิยมเจ้า ที่อธิบายว่า การปฏิวัติ พ.ศ.๒๔๗๕ เป็นการชิงสุกก่อนห่าม เพราะพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯก็จะพระราชทานรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว บ้างก็อธิบายว่า การปฏิวัติเป็นเรื่องของคนจำนวนน้อย ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ยิ่งไปกว่านั้นก็คือการโยงประชาธิปไตยเข้ากับการพระราชทานของรัชกาลที่ ๗ แล้วโยงคณะราษฎรเข้ากับการรัฐประหารของทหาร จึงกลายเป็นว่าคณะราษฎรเป็นตัวการในการทำลายประชาธิปไตย ทำให้เกิดการรัฐประหารไม่จบสิ้น
 
คำอธิบายเหล่านี้ ล้วนเป็นวาทกรรมต้านประชาธิปไตยและพยายามทำลายคุณค่าและความหมายของการ ปฏิวัติ พ.ศ.๒๔๗๕ และเป็นการมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่า โครงร่างธรรมนูญที่รัชกาลที่ ๗ เตรียมพระราชทาน ก็เป็นธรรมนูญกษัตริย์นิยม ยังให้อำนาจตสูงสุดที่พระมหากษัตริย์ ไม่มีการประกันเรื่องสิทธิ และความเสมอภาคของราษฎร และยังมองข้ามหลักฐานข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ ประชาชนชาวเมือง ชนชั้นกลาง พ่อค้า ครู ทนายความ และผู้มีการศึกษา แสดงการตอบสนองต่อการปฏิวัติในเชิงบวก ประชาชนต่างก็ร้องไชโย โห่ร้องแสดงความยินดีต้อนรับการปฏิวัติ และเมื่อกระแสการปฏิวัติแพร่ไปยังหัวเมือง พ่อค้า ข้าราชการ ครู และชาวเมืองในหัวเมืองก็ตอบรับการปฏิวัติในเชิงแสดงความยินดีเช่นกัน ระบอบใหม่จึงเป็นที่ต้อนรับอย่างกว้างขวาง สำหรับประชาชนระดับล่างในสมัยนั้น อาจไม่มีปฏิสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลง เพราะการขยายบทบาทของชนชั้นล่างจะเป็นส่วนหนึ่งของกระแส ๑๔ ตุลาคม ซึ่งมาทีหลัง แต่ก็มิได้หมายความว่า ชนชั้นล่างของสยามในขณะนั้น จะนิยมชมชื่นระบอบเก่า ส่วนการรัฐประหารที่เกิดขึ้นจำนวนมากนั้น ส่วนมากเป็นการสนับสนุนของฝ่ายนิยมเจ้า การรัฐประหารเหล่านี้ จึงโยงกับรัฐประหาร พ.ศ.๒๔๙๐ เสียยิ่งกว่า
 
เป็นที่น่าสังเกตว่า เจตนารมย์ประชาธิปไตยของคณะราษฎรซึ่งเคยลดกระแสลงในระยะก่อนหน้านี้ กลับขึ้นสู่กระแสสูงมากขึ้น หลังจากการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ ซึ่งระบอบประชาธิปไตยรัฐสภาที่พัฒนาอย่างมาก กลับประสบความชะงักงัน กลุ่มอำมาตยาธิปไตยที่ครอบงำด้วยแนวคิดนิยมเจ้าสุดขั้ว ได้เข้าควบคุมการเมืองไทย และใช้กลไกศาลเข้าทำลายหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย พร้อมทั้งใช้ขบวนการมวลชนฝ่ายขวามาเสนอหลักการบิดเบือนประชาธิปไตย ขบวนการประชาชนคนเสื้อแดงจึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องรณรงค์ให้มีการรื้อฟื้น หลักการประชาธิปไตยของคณะราษฎร จึงมีการเคลื่อนไหวจัดงานเฉลิมฉลอง ๒๔ มิถุนายนกันทุกปี ในเงื่อนไขที่เป็นไปได้ และโดยเฉพาะในปี พ.ศ.๒๕๕๕ นี้ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ นปช.จะเป็นแกนกลางในการจัดงานเฉลิมฉลอง ๘๐ ปีประชาธิปไตยเสียเอง และตามมหาวิทยาลัย ก็ได้มีการจัดงานวิชาการเฉลิมฉลอง ๘๐ ประชาธิปไตย จึงทำให้ ๒๔ มิถุนายน ปีนี้มีบรรยากาศที่คึกคักเป็นพิเศษ
 
คงต้องอธิบายด้วยว่า เจตนารมย์หนึ่งของคณะราษฎรในการสร้างระบอบการเมืองแบบใหม่หลัง พ.ศ.๒๔๗๕ แม้ว่าจะมีการแบ่งแยกอำนาจ เป็น นิติบัญญัติ บริหาร และ ตุลาการ แต่ถือกันว่า รัฐสภามีอำนาจสูงสุด เพราะเป็นสถาบันอันมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน รัฐสภาจึงเป็นตัวแทนอันชอบธรรมของประเทศ และศาลซึ่งไม่ได้ยึดโยงต่อประชาชน ต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบของรัฐสภา หลักการนี้จงจะต้องมีการรื้อฟื้นด้วย เพราะควบคุมอำนาจอยุติธรรมของศาล และจัดการที่ศาลเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองจนเกินเลย นี่เป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องพิจารณากันต่อไป
 
ในที่นี่อยากเสนอว่า เมื่อจะเฉลิมฉลองกันแล้ว ควรที่จะเรียกร้อง ๒๔ มิถุนายน ในฐานะของวันชาติกลับคืนมา เราต้องถือกันว่า การทำลายวันชาติ ๒๔ มิถุนายนนั้น เป็นดอกผลของเผด็จการ ถ้ารื้อฟื้น ๒๔ มิถุนายนได้ ประเทศไทยก็จะได้มีวันชาติเช่นเดียวกับประเทศอื่นเสียที
 
“ไทยจะต้องเป็นไทย ด้วยร่วมใจเทอดไทย ชโย”