ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Monday, 21 May 2012

จักรภพ เพ็ญแข: เขียนถึงคนรัก

ที่มา Thai E-News


20 พฤษภาคม 2555

โดย  จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา Democracy 100 percent


คอลัมน์ เขียนถึงคนรัก
นิตยสาร Red Power ฉบับที่ ๒๕
เดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๕๕

มวลชนที่รัก

ผมได้รับคำชวนเชิญจาก Red Power ให้เขียนข้อความลงในหน้ากระดาษของท่านมาสักระยะหนึ่งแล้ว ถึงผมจะเป็นผู้อ่านระดับเหนียวแน่นของนิตยสารแห่งการต่อสู้ฉบับนี้มาตลอด ทั้งในชื่อนี้และชื่ออื่นๆ ผมก็ยังเฉยอยู่ เหตุที่เฉยก็มิใช่อวดดีหยิ่งยโส หรือคิดว่าตัววิเศษวิโสไม่เหมือนใคร แต่เป็นเพราะผมกำลังเฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมืองไทยอย่างพินิจ พิจารณา ชั่วเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาบวกกับอีกไม่กี่ปีจากนี้ไป เมืองไทยได้ปรับตัวมามากและกำลังเปลี่ยนแปลงจนถึงรากถึงโคนในทางการเมือง ทั้งนี้เพราะสายสัมพันธ์ระหว่าง “เจ้าของบ้าน” กับ “ผู้อาศัย” ได้ถูกกระทบกระแทกจากสถานการณ์การเมืองจนแลเห็นพระไตรลักษณ์ นั่นคือความเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป มาปรากฏอยู่ตรงหน้า จึงเกิดแรงเหวี่ยงเป็นวงๆ ไปโดยรอบ เหมือนโยนหินก้อนใหญ่ลงในบ่อน้ำนิ่งจนเกิดระลอกคลื่น เราทุกชีวิตในหมู่มวลชนต่างได้รับผลกระทบจากระลอกคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลง นี้ทั้งนั้น แม้คนที่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ปฏิเสธที่จะมีทัศนะทางการเมืองใดๆ หรือพวกค้าสงครามที่ได้รับผลประโยชน์เต็มฟายมือจากความขัดแย้งในทางการเมือง แห่งพุทธศักราชนี้ ล้วนได้รับผลกระทบจนชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงไป มวลชนผู้มีสำนึกรับผิดชอบและติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างคนรู้ทันเสียอีก จะปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ดีกว่าคนที่ไหลตามน้ำอย่างเห็นแก่ ตัว

เมื่อถึงคราวเขียน ผมจึงขอเขียนความในใจมาในรูปจดหมายเปิดผนึกต่อมวลชนที่ผมรักและเคารพ ซึ่งก็จะได้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองและอื่นๆ ตามควร โดยอาศัย Red Power เป็นพาหนะ เมื่อเป็นจดหมายและใช้ชื่อจริง ผมก็ต้องขอออกตัวล่วงหน้ากับทุกท่านว่าผมคงเขียนไม่ได้ตามใจทุกอย่าง เรื่องหยิกเล็บเจ็บเนื้อยังคงมีความสำคัญและจำเป็นต้องข่มเอาไว้ในใจเพื่อ อนาคตของขบวนการบ้าง แต่ทุกอย่างที่ตัดสินใจเขียนนั้นจะเป็นของจริงทั้งความคิดเห็นและข้อเท็จ จริง ผมตระหนักดีว่าอนาคตของชาติและของทุกชีวิตรวมทั้งของตัวผมเองขึ้นอยู่กับ มวลชน ถึงจะมีนายหน้าการเมืองแทรกเข้ามาทุกยุคสมัย   ทั้งนายหน้าผู้ใหญ่โตไปจนถึงคนระดับไส้ติ่งของนายหน้า แต่มวลชนจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายเสมอ

จดหมายนี้เป็นฉบับแรก ผมขอใช้เวลาอธิบายความเกี่ยวกับตัวผมเองสักครั้ง เพื่อตอบคำถามหลายคนว่าผมหายไปไหน ทำอะไร มีความสุขทุกข์เป็นประการใด และกำหนดแนวทางในการต่อสู้ไว้อย่างไร ซึ่งล้วนเป็นคำถามของคนที่รักกันและมีความจริงใจต่ออนาคตของบ้านเมืองทั้ง สิ้น ฉบับต่อๆ ไปคงจะไม่มีลักษณะพร่ำพรรณนาเรื่องของตัวเองให้ท่านรู้สึกรำคาญ แต่คงจะแทรกอยู่กับบทวิเคราะห์วิจารณ์ต่างๆ ไปตามเพลง

นับถึงวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕ ผมออกจากประเทศไทยมาครบสามปีแล้ว เหตุที่ออกมาก็เพราะมีสถานการณ์รุนแรงที่เราเรียกว่า “สงกรานต์เลือด” เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่มีวีรชนของเราล้มตายไปอย่างเงียบเชียบเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในบริเวณรอบๆ สามเหลี่ยมดินแดง และไม่มีใครไว้อาลัยหรือคิดชดเชยอะไรให้จนกระทั่งบัดนี้ แต่ถึงจะบาดเจ็บล้มตายกันมาก การลี้ภัยในขณะนั้นดูจะไม่มีเหตุผลเท่าที่ควร แม้แกนนำที่เป็นเพื่อนกันอย่าง “คุณจตุพร พรหมพันธุ์” ซึ่งบัดนี้กลายเป็นรัฐมนตรีโดยไม่ต้องอาศัยพระบรมราชโองการ ก็ยังออกปากผ่านสื่อมาอย่างไม่เข้าใจว่า “จักรภพหนีทำไม” เหตุที่ผมตัดสินใจเช่นนั้นก็ชัดเจน เพราะการจัดตั้งกำลังของรัฐเมื่อคราวสงกรานต์ พ.ศ.๒๕๕๒ รวมทั้งกำลังเสริมอย่าง “เสื้อสีน้ำเงิน” เป็นไปเพื่อการบดขยี้มวลชนประชาธิปไตยอย่างนองเลือดทั้งสิ้น หากแกนนำ นปก. ในขณะนั้นไม่ประกาศสลายการชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล การฆาตกรรมหมู่ ณ ใจกลางเมืองคงจะเกิดขึ้นที่นั่นก่อนคราวราชประสงค์ ถามต่อว่า เพราะกลัวการนองเลือดที่ว่านี้หรือจึงตัดสินใจเดินทางออกไป ก็ต้องตอบว่า ไม่ใช่ เหตุที่ออกไปเพราะได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า โอกาสในการรอมชอมตามวิถีประชาธิปไตยกับผู้ที่สั่งรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ฯ มาฆ่าเราอย่างเป็นระบบนั้น ได้หมดสิ้นไปแล้ว หากผู้ที่ออกคำสั่งมีความเป็นประชาธิปไตยเจือปนอยู่บ้าง เขาคงจะได้สติจากการต่อสู้ของมวลชนด้วยหัวใจตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๙ เป็นต้นมา และน่าจะตื่นจากหลับด้วยผลการเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๐ แต่เมื่อได้เห็นการจัดตั้งกองกำลังฆ่าคนในคราวนั้น ผมก็รู้โดยประจักษ์แจ้งว่าเราต้องไปจัดตั้งแนวทางการต่อสู้ที่อยู่นอก พื้นที่อำนาจของเขา นี่คือเหตุผลที่ผมต้องวิจารณ์การกระทำต่างๆ ของพวกเราเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ หรือการเชิญฝ่ายตรงข้ามขึ้นเวทีเพื่อแสดงอะไรก็ตาม

ทุกๆ ครั้งที่วิจารณ์ออกไปก็ดูเหมือนจะขัดใจแกนนำที่เป็นพรรคพวกกันทุกครั้ง จนต้องยกทีมออกมาโต้ตอบกันแรงๆ มวลชนบางส่วนก็พลอยไม่เข้าใจผม บางท่านก็ตัดพ้อต่อว่า บางท่านก็แสดงความผิดหวังหรือเสียใจที่เห็นเราทะเลาะกันเอง ความรู้สึกเช่นนี้เกิดอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แต่ผมอยากให้มวลชนทุกท่านทราบเถิดครับ คนที่ร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยหัวใจจริงโดยไม่มีผลประโยชน์อื่นๆ เคลือบแฝง ไม่มีวันที่จะทะเลาะกันจริงหรอกครับ เรายังร่วมงานกันได้ในทุกเวลานาที อย่างที่เราเรียกกันติดปากว่า “พบกันเมื่อชาติต้องการ”

 คนที่ผมจะทะเลาะด้วยจริงและรู้สึกรังเกียจคือเหลือบทางการเมืองที่อาศัย มวลชนมาเป็นพรมเช็ดเท้าของตัวเอง เพื่อก้าวเข้าไปสู่ห้องอันสวยงามอัครฐาน ขณะเดียวกันก็กดหัวมวลชนเพื่อไม่ให้เติบโตทางความคิด อยากให้มวลชนอยู่ในสภาพเด็กที่ว่านอนสอนง่ายและตามใจคนสั่ง ซึ่งเป็นเจตนาที่ไม่ต่างอะไรจากฝ่ายศักดินา-อำมาตย์ที่มวลชนถือเป็นคู่ ต่อสู้เลย พวกที่น่ารังเกียจนอกจากนี้ คือพวกที่เล่นเกมการเมืองจนถึงขั้น “ฆ่า” คนในขบวนการเดียวกันเพื่อรักษาความเป็นนายหน้าค้าประชาธิปไตยแต่เพียงผู้ เดียวของตนเองเอาไว้ คนจำพวกนี้ต่างหากที่ผมขออยู่ห่าง ไม่ขอร่วมสังฆกรรมใดๆ ด้วย หากคนเหล่านี้ยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ผมก็จะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายตรงข้ามที่ต้องต่อสู้ให้หมดสิ้นไปด้วย รวมความแล้ว การลี้ภัยในวันนั้นเกิดขึ้นเพราะผมตัดสินใจลุกขึ้นสู้อย่างเป็นระบบและหวัง ผลระยะยาวโดยร่วมมือกับมวลชนในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด ซึ่งก็ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องจนบัดนี้ บางเรื่องก็ยังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน จึงไม่ควรที่จะนำมาเล่าขานกัน

แต่ประสบการณ์สามปีของผมสอนผมว่า ปัญหาใหญ่มิได้อยู่ที่ฝ่ายตรงข้าม แต่อยู่ที่เซลล์มะเร็งในเนื้อตัวของขบวนประชาธิปไตยเอง ผมพยายามปฏิบัติภารกิจตามความตั้งใจมาตั้งแต่วินาทีแรกที่ลงหลักปักฐาน แต่แล้วผมก็รู้รสของ “พวกเรา” ที่มิใช่พวกเรา แทรกตัวเข้ามาเป็นผู้นำหรือผู้สนับสนุนที่มิได้มีแนวทางเปลี่ยนแปลงบ้าน เมืองตามอุดมการณ์เลย คนเหล่านี้ใช้ศิลปะในทางการเมืองที่สูงส่งกว่าคนทั่วไป เนื่องจากเขามีคุณธรรมที่ต่ำกว่า ขับเคลื่อนมวลชนแบบเข้าเกียร์ว่างหรือถอยหลังเข้าคลองไปเรื่อยๆ แทนที่จะถนอมและประคองขบวนประชาธิปไตยให้เดินหน้าไปตามธรรมชาติ และนำการจัดตั้งตามอุดมการณ์และมีระบบที่ดีเข้ามาเสริม ผมถามตัวเองหลายครั้งว่าคนเหล่านี้เขาต้องการอะไร เหตุใดจึงไม่ต้องการประชาธิปไตยอันแท้จริงเหมือนพวกเรา สุดท้ายผมต้องตอบตัวเองว่า เขายังต้องการประชาธิปไตยแบบที่เขาควบคุมได้ ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่มวลชนเข้ามาควบคุมและชี้นำเขา เขาเพียงต้องการให้กลุ่มพวกของตัวเองเข้ามาแทนกลุ่มเก่าที่เป็นเหลือบเบียด บังบ้านเมืองมาเนิ่นนาน โดยไม่ต้องการระบบการเมืองใหม่ใดๆ พูดง่ายๆ คือการ “ปฏิวัติ” ของคนเหล่านี้ คือการอาศัยกำลังมวลชนมาก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากกลุ่มเก่ามาใส่มือของตน เท่านั้น เขาจึงต้องเข้ามาควบคุมขบวนพัฒนาประชาธิปไตยเพื่อให้เคลื่อนไหวไปในทางที่ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของเขาเสียตั้งแต่ต้น ผลคือการต่อสู้ของมวลชนหันเหออกจากแนวทางอันเหมาะสม จังหวะแห่งชัยชนะกลับล่าถอย จังหวะที่ต้องต่อสู้เพื่อมวลชนกลับรอมชอม และจังหวะที่ได้ครอบครองอำนาจรัฐก็กลับยกประโยชน์ให้จำเลย ทำให้มวลชนจำนวนมากที่ครั้งหนึ่งถูกเรียกว่า “ตาสว่าง” รู้สึกอึดอัดขัดใจขึ้นเป็นลำดับ และเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าเรากำลังเดินไปทางไหนกัน สู่อิสรภาพหรือกลับเข้าคอกวัวคอกควาย

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยรอบนี้แตกต่างจาก ประวัติศาสตร์มีหลายประการ โดยเฉพาะสองเรื่องหลักที่นักปฏิวัติตั้งแต่ ร.ศ.๑๓๐ เรื่อยมาได้แต่ฝัน นั่นคือ เทคโนโลยีการสื่อสารที่มอบอิสรภาพตามธรรมชาติกลับสู่คนแต่ละคนมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ไม่กลัวเทคโนโลยีและวิ่งเข้าใส่ และการพัฒนาประชาธิปไตยในระดับสากลหรือระดับโลก ที่ทำให้การต่อสู้ในประเทศไทยไม่โดดเดี่ยว ผมขอตราไว้ตรงนี้ในฐานะที่เป็นยุทธศาสตร์ของฝ่ายประชาชน

การเปลี่ยนแปลงวิธีการสื่อสารที่ทำให้ความเป็น “สื่อมวลชน” หรือ “mass media” ลดลงมาเป็น “การสื่อสารส่วนบุคคล” หรือ “personalized media” มากขึ้น ผู้คนสามารถใช้เครื่องมือเล็กๆ ในมือของตัวเองในการรับและส่งข้อมูลที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของเขาได้เกือบ ตลอดเวลา ได้กลายเป็นเครื่องมืออันทรงอานุภาพของฝ่ายประชาธิปไตยไปโดยอัตโนมัติ วันนี้คนถวิลหา I-Phone, I-Pad, tablet และวันที่จะมาถึงในอนาคตอันใกล้ก็จะมีอีกหลายชื่อจนจำกันไม่หวาดไหว ก็เพราะในส่วนลึกของจิตใจแล้ว คนแต่ละคนกระหายโอกาสที่จะหลุดพ้นออกไปจากกรอบที่คนอื่นขีดให้ใช้ชีวิต และเครื่องมือเหล่านี้กลายเป็นพาหนะชนิดใหม่ในการเดินทางสู่อิสรภาพที่ว่า นั้น ผมระลึกถึงด้วยความชื่นใจว่า การกดขี่ทางการเมืองในเมืองไทยได้ช่วยให้คนไทยวิ่งเข้าหาเทคโนโลยีมากขึ้น กี่คนล่ะครับที่ไม่กี่ปีก่อนยังไม่กล้าแตะคอมพิวเตอร์ แต่บัดนี้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญย่อมๆ ขึ้นมาแล้ว เข้าใจหมดทั้งโปรแกรมพื้นฐานและการประยุกต์ใช้ใหม่ๆ เพราะความกระหายที่จะได้รับและส่งข้อมูลอย่างนักประชาธิปไตยนั่นเองที่เป็น เหตุ เว็บไซต์ที่มีมากมายเหลือคณานับ

โปรแกรมพูดคุยต่างๆ และกิจกรรมอีกมากหลายในโลกไซเบอร์ ได้ กลายเป็นเครื่องมือเปลี่ยนแปลงทางสังคมขั้นวิเศษอย่างชนิดที่เครื่องมือ เก่าๆ ต้องยอมศิโรราบ คนที่ส่งนวัตกรรมเหล่านี้มาสู่โลก เขาก็ทำเพื่อการค้าและผลประโยชน์เข้ากระเป๋าของเขาเองก็จริง แต่ขณะนี้ผลข้างเคียงของการนี้ทำให้โลกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ระบบการเมืองก็กำลังเปลี่ยนตาม เพราะตระหนักกันแล้วไม่มากก็น้อยว่า ไม่มีระบบการเมืองใดๆ อีกแล้วที่สามารถรับมือกับพลังที่ถูกปลดปล่อยออกมาถึงขนาดนี้ได้ ยกเว้นระบอบและระบบประชาธิปไตย หลายประเทศที่หมกมุ่นกับการ “ควบคุม” คือตรงข้ามกับการ “ปลดปล่อย” ซึ่งรวมถึงผู้มีอำนาจในเมืองไทยด้วย ก็เป็นการงัดข้อที่คนทั้งโลกกำลังจับตามองว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าจะประสบความล้มเหลว คนฉลาด (แกมโกง) เพียงไม่กี่คนในระบบรัฐแบบโบราณ จะมาสู้พลังมวลชนขนาดโลกทั้งโลกได้อย่างไร ต่อให้บางส่วนโง่เขลามืดทึบบ้าง เห็นแก่ตัวอย่างหนักชนิดเป็นภัยต่อโลกบ้าง หรือเป็นเผด็จการลึกอยู่ในขั้วหัวใจบ้าง จำนวนคนที่มีความสามารถโต้กลับย่อมมีมากกว่า และรวมถึงคุณภาพโดยรวมที่ย่อมจะสูงกว่าด้วย เทคโนโลยียุคนี้จึงเป็นธรรมชาติการต่อสู้ของมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีและมีฐาน คิดที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ได้หล่นจากสวรรค์ชั้นฟ้าที่ไหนเลย แท้ที่จริงแล้ว อินเตอร์เน็ตคือความกระหายอย่างถึงแก่นของสัตว์สังคมที่จะสื่อสารกันด้วย เสรีภาพอย่างเต็มเปี่ยมเท่านั้นเอง นับเป็นของขวัญของฝ่ายประชาธิปไตยโดยแท้

ไม่เฉพาะกัมพูชาเท่านั้น ที่ออกโรงสนับสนุนฝ่ายประชาชนของไทยอย่างเต็มอัตราศึก ชาติอื่นๆ ในย่านสุวรรณภูมิและอาเซียนส่วนใหญ่ล้วนมีบทบาทในทางบวกต่อเราทั้งสิ้น ต่างเพียงว่าบางประเทศท่านไม่ประสงค์จะออกนามเท่านั้นเอง วันหนึ่งผมคงมีโอกาสเล่าให้ท่านฟังว่าใครช่วยเหลืออะไรเราอย่างไรบ้างในราย ละเอียด ต้องขอโทษท่านว่าวันนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะเล่าได้โดยไม่กระทบกระเทือนต่อใคร ณ จุดนี้เองที่ผมก็เห็นอัศจรรย์ ประเทศเหล่านี้มีลักษณะพึ่งพา (inter-dependent) ไทยในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เท่าๆ กับที่เราก็พึ่งพาเขา ความสัมพันธ์ระหว่างเราค่อยๆ ลดจากการพึ่งพิงหรือ dependent ลงโดยลำดับ ซึ่งทำให้เราคบกันอย่างคนที่มีวุฒิภาวะสูงขึ้น ไม่ต้องหน้าเนื้อใจเสือหรือมีลักษณะปลิ้นปล้อนตลบแตลงระหว่างกันเหมือนอดีต ผลจากความเปลี่ยนแปลงนี้เองที่ผมพบเห็นสิ่งที่คาดไม่ถึง

ผมเคยคิดว่าผู้มีอำนาจไทยที่ไม่ใช่พวกเราในฝ่ายประชาธิปไตยเขาสามารถสนองตอบ ผลประโยชน์เหล่านี้ได้ดีกว่าเรา เพราะเขาปกครองมาเนิ่นนาน รู้วิธีกดปุ่มระดมทุนและทรัพยากรทุกชนิดได้ดีกว่าพวกมือใหม่หัดขับอย่างเรา มากนัก เหล่าเพื่อนบ้านน่าจะถูกดึงดูดให้ไปคบกับเขามากกว่าเรา  แต่การณ์กลับปรากฏว่า เขาเสนอตัวคบกับเรา โดยเหตุผลอันเรียบง่ายและเข้าใจได้ทันทีว่า ฝ่ายผู้กุมอำนาจเดิมของไทยเป็นต้นเหตุของความคิดหวาดระแวงในภูมิภาค การทรยศหักหลัง และความคิดที่นำมาสู่การดูถูกดูแคลนเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใด เขารู้รสเหล่านี้มานานปี จนตัดสินใจชัดเจนแล้วว่าฝ่ายประชาชนด้วยกันเท่านั้นที่จะคบค้าสมาคมกันได้ โดยสนิทใจและบังเกิดผลดีในระยะยาว มีหลายตัวอย่างและหลายเหตุการณ์ที่ไม่ควรเล่าในวันนี้ ที่ยืนยันถึงแนวโน้มแห่งความเปลี่ยนแปลงในระดับโลกและระดับภูมิภาคที่ทำให้ ฝ่ายอำนาจเดิมของไทยอยู่ในฐานะตั้งรับและเสียเปรียบ ถึงเราไม่ควรตั้งตนอยู่ในความประมาทเลยก็ตาม เราจะรู้สึกชื่นใจบ้างก็คงไม่ผิดอะไร

พี่น้องมวลชนที่รักครับ ผมจะเขียนจดหมายมาหาท่านเรื่อยๆ บางครั้งก็เล่าแนวคิดทางการเมืองบ้าง บางครั้งก็อาจเล่าเรื่องที่เป็นข้อมูลความรู้อื่นๆ บ้าง เพื่อให้รู้ว่าเรามีกันและกันเสมอไป

ฉบับแรกแปลกตรงไหนใครว่าแปลก
ก็เพียงเริ่มวันแรกเราสื่อสาร
ถึงเว้นว่างห่างเหินมาเนิ่นนาน
อุดมการณ์เดียวกันก็ทันที

คิดถึงกันอยู่เสมอเพราะเกลอเก่า
ครอบครัวเราก็ยังรักในศักดิ์ศรี
วีรชนยังอยู่ท่านรู้ดี
ถนนยาวสายนี้ว่าใครจริง

เขียนจดหมายมาเพราะตัวมาไม่ได้
เพราะเมืองไทยในวันนี้ผียังสิง
หากช่วยล้างสร้างน้ำมนต์บนความจริง
สาดจากหิ้งพระเก่าก็เบาใจ

ใครเล่าท่านมันจะไม่คิดถึงบ้าน
แต่เรื่องงานบ้านเมืองเป็นเรื่องใหญ่
เพียงรู้ว่ามวลชนยังมีใจ
ก็สู้ไหวเพราะใจยอมพร้อมพลีตน...

ด้วยรักและเคารพ
จักรภพ เพ็ญแข

----------------------------------------------------------------------------------
ข่าวสั้นผ่านมือถือ ข่าวการเมือง, คนเสื้อแดง, นิติราษฎร์, พรรคเพื่อไทย, กิจกรรมเพื่อปชต. ฯลฯ สมัคร เข้าเมนูเขียนข้อความ พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน