เมล็ดฟักทองสีแสดอ่อนถูกนำมาผึ่งลมไว้บนถุงปุ๋ย เป็นวิธีการเตรียมเพาะเมล็ดพืชเพื่อนำไปปลูกลงดินให้เผชิญกับสภาพแวดล้อมของ โลกอันกว้างใหญ่ ประดั่งจุดเริ่มต้นของชีวิตเด็กน้อยชาวกุยแห่งบ้านตูมที่กำลังถูกบ่มเพาะ เพื่อให้งอกขึ้นมา เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ถูกโอบอุ้มด้วยมือของพ่อแม่เพื่อเคลื่อนย้ายไปในดินแดน ที่มีไร่อ้อยหนาตาอยู่เป็นประจำ
ขณะเดียวกันกลุ่มชาติพันธุ์กุย จากบ้านตูม อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ ได้เคลื่อนย้ายแรงงานมากว่า 2 ทศวรรษ กอปรกับมีการเคลื่อนย้ายจำนวนแรงงานเกือบทั้งหมู่บ้านเพื่อไปตัดอ้อยทั่ว ประเทศ รวมถึงมีบางคนได้ตัดสินใจข้ามชาติไปตัดอ้อยที่มาเลเซีย ดั้งนั้นวิถีแห่งแรงงานและเมล็ดพันธุ์เหล่านี้เมื่อออกจากฝักก็ต้องเดินทาง สู่ป่าอ้อยเรื่อยมา เพราะฉะนั้นโลกของเขาจึงมีบางแง่มุมที่แตกต่างจากการเดินทางท่องเที่ยว ความกินดีอยู่ดีของคนรวย และที่พักสบายๆ ของใครบางคนในโลกนี้
บางมุม : โลกแห่งแรงงานและวิถีเมล็ดพันธุ์เมื่อไกลบ้าน
ฤดูหนาวเริ่มต้นขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกให้แรงงานพ่อแม่ลูกอ่อน เตรียมตัวเดินทางจากบ้านเกิดเพื่อเคลื่อนย้ายแรงงานตนไปตัดอ้อยในจังหวัด ห่างบ้าน ชีวิตของ 5 ครอบครัว กว่า 20 ชีวิตจากบ้านตูม ได้ทำพิธีกรรมไหว้ผู้เฒ่าผู้แก่ประจำตระกูล โดยมีเหล้าขาวราดรดลงกองดินเพื่อบอกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และผู้เฒ่าจะผูกด้ายขาวพร้อมกับส่งเสียงอวยพรให้มีแต่ความปลอดภัยและหาเงิน กลับบ้านได้มากๆ
วันที่ 15 ธันวาคม 2554 ล้อรถบรรทุกของเถ้าแก่หัวหน้าโควตาอ้อย ได้บรรทุกคนกลุ่มชาติพันธุ์กุยกลุ่มนี้เดินทางจากบ้านเกิดเพื่อมาใช้แรงงาน ตัดอ้อยที่ บ้านคุยชัย ตำบลนาโพธิ์ อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม และท่ามกลางค่ำคืนที่หนาวเหน็บ แสงไฟได้ถูกสุมขึ้นหน้าเพิงพักที่สร้างด้วยสังกะสีเก่าหลังเล็กๆ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น
แสงไฟบรรเทาความหนาวหน้าเพิงพักของแรงงาน
สถานที่สร้างเพิงพักได้เคยเป็นที่ตั้งแคมป์เดิมของชาวบ้านตูมกลุ่มแรก ที่มาบุกเบิกการตัดอ้อยในแถบนี้ ซึ่งจะประกอบไปด้วย สระน้ำใช้ ป่าอ้อยรายรอบที่ได้ใช้เป็นสุขา และเถ้าแก่จะให้ยืมรถไถ 1 คัน สำหรับรับ-ส่งแรงงานระหว่างแคมป์กับไร่อ้อย สาธารณูปโภคแค่นี้ ถึงแม้บ่นว่าไม่สะดวกเท่าไหร่ แต่ต้องสู้เพื่อเอาชีวิตตัวเอง และเมล็ดพันธุ์แห่งสายเลือดให้อยู่รอดต่อไป
เด็กน้อย 5 ชีวิตได้ติดตามพ่อแม่มาผจญกับป่าอ้อยที่มหาสารคาม ซึ่งบางคนอยู่ในวัยที่ควรได้รับโอกาสทางการศึกษา และคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้ แต่ด้วยโครงสร้างการกระจายรายได้ในระบบการผลิตน้ำตาลที่รายได้ตกไปอยู่กับ เจ้าของทุนมากกว่าแรงงาน จึงทำให้ความแร้นแค้นตกอยู่กับแรงงานเหล่านี้มาหลายทศวรรษ
นอกจากนี้เด็กบางคนเริ่มผูกผ้าคลุมหน้า จับพร้าออกแรงตัดอ้อยร่วมกับบุพการี บางคนเริ่มเรียนรู้ชีวิตในป่าอ้อย สลับกับการดูแลน้องเล็กในเปลผ้าขาวม้าอย่างมิละสายตา จรดการตัดอ้อยสิ้นสุดจึงจะกลับไปที่แคมป์พร้อมกับผู้เป็นแม่ซึ่งไปหุงหา อาหาร ส่วนผู้เป็นพ่อถ้าไม่ได้เผาอ้อยก็จะออกหา นก หนู ปู ปลา มาเตรียมไว้เป็นอาหารสำหรับมื้อต่อไป สายตาของชายหนุ่มมุ่งมั่นเสมือนมีความหวังมากกับอาหารที่ไม่ต้องซื้อ ทั้งนี้แคมป์ก็อยู่ไกลเกินไปสำหรับคนที่ไม่มีรถไปตลาด ดั้งนั้นพวกเขาจะแก้ปัญหาโดยหาอาหารตามธรรมชาติ และจะออกไปตลาดครั้งละสัปดาห์เพื่อซื้อของใช้ที่จำเป็นมาตุนไว้
การตัดอ้อยช่วยพ่อแม่และการใช้ชีวิตในป่าอ้อยของเด็กน้อยชาวกุย
สมหมาย ละครศรี แม่ลูกอ่อนถ่ายทอดบรรยากาศ การไปตลาดว่า เราไปซื้อของมาเก็บไว้ บางครั้งเราได้เจอพี่น้องบ้านตูมเดินตลาดก็รู้สึกดีใจ ต่างมีเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟัง ทั้งเรื่องความทุกข์ ความสุขปนเปกันไป การคุยอย่างออกอรรถรสด้วยประสบการณ์การตัดอ้อยต่างถิ่น “มาตัดไส เป็นจั่งไดแน่” เป็นประโยคคลาสสิกที่ถูกเอ่ยออกมาเมื่อเจอหน้าคนบ้านเดียวกัน
ออกแรงตัดอ้อยแลกเงิน
เสียงเพลงจากทรานซิสเตอร์ดังขึ้นกลางแคมป์ ในรุ่งอรุณที่ 5 มกราคม 2555 แรงงานหลายคนตื่นตั้งแต่ตี 4 มาเตรียมสำรับอาหารเพื่อออกเดินทางไปตัดอ้อยเมื่อฟ้าสาง แรงงานอัดกันแน่นบนรถไถนาเพื่อไปยังไร่อ้อยที่เผาไว้เมื่อคืน ซึ่งห่างแคมป์ประมาณ 1 กิโลเมตร ทุกคนขนสำภาระลงใต้ร่มไม้ใกล้เถียงนาและรับประทานอาหารเช้าก่อนลงแรงตัดอ้อย
การตัดอ้อยเริ่มขึ้นประมาณ 7 โมงเช้า ชายหนุ่มพ่อลูกอ่อนเริ่มตัดเป็นคนแรก และตามด้วยคนอื่นๆ การตัดอ้อยจะแบ่งกันตัดครอบครัวละ 3 แถวเป็นแนวยาวจนสุด ค่อยกลับมาเริ่มแถวใหม่ไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาเลิกงาน ส่วนรายได้ของการตัดอ้อยจะขึ้นอยู่กับจำนวนหมัดที่ตัด และอ้อยที่ถูกแบกขึ้นรถว่าได้จำนวนกี่ตัน โดยเฉลี่ย 1 หมัดจะเท่ากับ 1 บาท และน้ำหนักที่แบกขึ้นรถเฉลี่ยตันละ 40-50 บาท ซึ่งสมหมาย จะเป็นคนบันทึกจำนวน จนกว่าวันสิ้นสุดการตัดอ้อยถึงจะไปรับเงินกับเถ้าแก่ ซึ่งต้องหักออกจากเงินที่เถ้าแก่จ่ายให้ก่อนมาตัดอ้อย
เหล่าเมล็ดพันธุ์ได้ร่มไม้เป็นที่หลับนอน และนั่งเล่น
ชีวิตเปรียบดังกล้าอ่อนของแรงงาน
พันนา ยาดี (หนุ่ม) อายุ 20 ปี เขาเสมือนกล้าอ่อนของแรงงานตัดอ้อยพันธสัญญา เพราะเพิ่งเริ่มมาตัดอ้อยเป็นครั้งแรก แต่ประสบการณ์ในการใช้แรงงานเขาไม่ต่ำกว่า 10 ปี เนื่องจากตอนเป็นเด็กได้ติดตามพ่อไปตัดอ้อย พออายุเข้า 10 ขวบ เริ่มใช้แรงช่วยพ่ออย่างจริงจังที่ไร่สัปปะรด ในจังหวัดระยอง
การเดินทางในครั้งนี้เขามาพร้อมสาวคู่ใจจากเมืองระยอง ทั้งสองตัดอ้อยช่วยกัน แต่เจอปัญหาเมื่อเท้าแฟนสาวของหนุ่มเริ่มมีอาการเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ จากบาดแผลเดิม หนุ่มเลยบอกให้แฟนหมัดอ้อยแทน การตัดอ้อยดำเนินไปท่ามกลางแดดที่เริ่มแผดเผาทั้งคนและต้นอ้อยที่ถูกไฟไหม้ จนทำให้เหงื่อชุ่มไปทั่วตัว ทั้งน้ำตาลได้ซึมทะลุผ่านเปลือกอ้อยออกมา ความเหนียวผสมกับขี้เถ้าสีดำเปื้อนตามมือและร่างกายของชายหนุ่ม แต่ด้วยเหตุผลที่ “เขาบอกว่ามันดี เลยอยากมาลองเบิ่ง” จึงทำให้เขาเก็บแรงไว้สู้ต่อเพื่ออนาคตที่ต้องกินต้องใช้
ลำบากแต่ต้องมาตัดอ้อย?
การตัดอ้อยเป็นเรื่องลำบาก แต่ด้วยความจำเป็นเพราะถ้าอยู่บ้านก็ไม่รู้จะทำอะไร ทำนาก็พอได้กิน บ้างมีที่ดินน้อย ขณะเดียวกันเถ้าแก่ก็ทำให้เราสามารถกู้เงินมาซื้อของที่เราต้องการก่อนได้ เราค่อยไปทำงานใช้หนี้ทีหลัง แล้วถ้าหากไม่ทำก็อดกินแน่นอน ท่วงทำนองเช่นนี้ผุดขึ้นในความคิดของแรงงานตัดอ้อยหลายคน และชีวิตจริงที่ยิ่งกว่าละครของคนจน คือ พวกเขายังจำเป็นต้องพึ่งการบริโภคอาหารจากตลาด การผลิตเพื่อขายเข้าสู่ระบบตลาด ขณะที่ปัจจัยการผลิตหลายอย่างยังคงตกอยู่กับนายทุน การใช้แรงงานอย่างหนักเพื่อแลกเงินจึงยากจะปฏิเสธ
ไร่อ้อยที่ถูกเผาจำต้องมีคนเฝ้าไม่ให้รุกลามไปไร่คนอื่น แต่บางที่อาจมีการลอบจุดเพื่อเร่งส่งอ้อยเข้าโรงงาน
แรงงาน : ความอึดอัดข้างในและคำถามส่งท้าย
ขณะที่ไฟถูกจุดในไร่อ้อยอีกแปลงในยามค่ำ บ่งบอกว่า พรุ่งนี้จะเริ่มตัดอ้อยต่อไป ควันไฟโขมงคุ้งฟ้า ประกายไฟแตกกระจายเป็นละออง บ้างคล้ายพลุเฉลิมฉลองเทศกาล แต่สำหรับพวกเขา มันคือการตัดอ้อยที่ต้องแลกด้วยการใช้แรงงานอย่างหนัก ถึงแม้จะมีพ่อบางคนในแคมป์ เปรยว่า “ไม่เคยคิดว่าจะมาตัดอ้อย แต่ก่อนเคยบอกว่า โง่ แต่วันนี้ ตัวเองมาโง่เอง แถมยังเอาลูกมาโง่ด้วย” สำนวนแบบนี้ไม่รู้ใครเป็นคนคิดแต่ติดมากับการดูถูกอาชีพแบบนี้มาเนิ่นนาน บางคราฟังแล้วสะเทือนใจ แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ถูกเล่าจากหนึ่งในแรงงานที่มาตัดอ้อยในครั้งนี้
ถึงแม้คำว่า “โรคเหลื่อมล้ำ” ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาจะอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวข้างต้นได้อย่างมีพลัง แต่โครงสร้างของระบบการเมือง เศรษฐกิจและสังคมแบบใดเล่า ที่จะไม่สูบเลือดกินเนื้อและให้สวัสดิการที่แฟร์กับคนใช้แรงงานอย่างหนัก หน่วงเช่นนี้ได้ ในสังคมไทยปัจจุบัน?
* อ้อยพันธสัญญา หมายถึง เมื่อโรงงานผลิตน้ำตาลไม่ผลิตอ้อยเอง แต่จะรับอ้อยจากผู้ปลูกอ้อยแทน และเพื่อควบคุมการส่งอ้อยเข้าโรงงานให้มีประสิทธิภาพ โรงงานจะมีตัวแทน ที่เรียกว่า “หัวหน้าโควต้า” ซึ่งจะทำหน้าที่ทำสัญญาเพื่อซื้อขายอ้อยกับผู้ปลูกอ้อย โดยหัวหน้าโควตาจะได้รับส่วนแบ่งจากการจัดการนี้ ซึ่งเรียกว่า “ค่าหัวตัน” จากโรงงาน ขณะที่แรงงานตัดอ้อยจะเป็นกลุ่มคนล่างสุดในสายพานการผลิตนี้