ปีศาจตนหนึ่ง กำลังหลอกหลอนไปทั่วสังคมไทย ทำให้ชนชั้นนำและกลุ่มฝ่ายขวาทั้งหมด ต้องผนึกกันเป็นแนวร่วมเพื่อต่อต้าน ตั้งแต่บางปีกในรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย กลุ่มผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มเนติบริกร ผู้นำกองทัพ อธิบดีกรมตำรวจ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ สยามสามัคคี กลุ่มสลิ่มสารพัดสี และผู้เกินกว่าราชาทั้งหลาย ต่างก็ช่วยกันกู่ร้องประสานเสียงประณามคณะนิติราษฎร์ วาดภาพให้คณะนิติราษฎร์เป็นผีปีศาจปลุกคนไทยมาต้านคณะนิติราษฎร์ บ้างก็ไปถึงขนาดข่มขู่ว่าจะสนับสนุนให้เกิดการรัฐประหาร ดูบรรยากาศน่าตกใจอย่างยิ่ง เพียงแต่สิ่งน่าตกใจกว่านั้นสำหรับชนชั้นนำไทย คือ การพิจารณาแลกเปลี่ยนเชิงเหตุผลในประเด็นที่คณะนิติราษฎร์เสนอมีน้อยมาก จึงแทบจะไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาด้านภูมิปัญญาเลย
ลองพิจารณาจากตัวอย่าง ตั้งแต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้แถลงในวันที่ 25 มกราคม ว่า ความเคลื่อนไหวในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของคณะนิติราษฎร์ จะเป็นการจุดชนวนความแตกแยกในบ้านเมือง และยังทำให้ประชาชนเกิดความเกลียดชังกลุ่มนิติราษฎร์ และย้ำว่าได้สั่งการให้ตำรวจสันติบาลติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติ ราษฎร์ ซึ่งถ้าหากว่า พบการกระทำความผิดจะจับกุมดำเนินคดีทันที ปัญหาคือ ร.ต.อ.เฉลิมทำราวกับว่า การเสนอให้มีการแก้กฎหมายของนิติราษฎร์เป็นเรื่องของการก่ออาชญากรรม ที่จะต้องคอยจ้องจับเพื่อดำเนินคดี
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นเรื่องของความพยายามที่อาจจะไม่ปกติ อยากจะทำโน่นทำนี่ โดยไม่คิดว่าอะไรควรไม่ควร นักวิชาการเหล่านี้ จะต้องกลับไปทบทวนว่าสถาบันทรงคุณต่อแผ่นดินอย่างไร ไม่ใช่ไปบังคับ หรือผูกขาดความจงรักภักดี แต่ต้องการให้ทุกคนระลึกอยู่เสมอว่าบ้านเมืองมีชื่อเสียงเกียรติยศในโลกนี้ ส่วนใหญ่ที่รู้จักประเทศไทย รู้จักมาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก่อนทั้งสิ้น และว่า “ผมเคยบอกไปหลายครั้งแล้วว่าไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง คนทั้งแผ่นดินเคารพเทิดทูน แต่ท่านมาทำลายความรู้สึกของคนทั้งแผ่นดิน ขอถามว่าท่านจะได้อะไร อย่าให้ว่า ผมใช้คำรุนแรง เมื่อท่านรุนแรง ผมก็รุนแรงกับท่าน แต่ผมอยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่มีการทำอะไรนอกกฎหมายทั้งสิ้น ท่านอย่าทำผิดกฎหมายก็แล้วกัน” ซึ่งในส่วนนี้ก็เป็นที่น่าแปลกใจ เพราะไม่ได้ปรากฏเลยว่า คณะนิติราษฎร์จะพูดอะไรรุนแรงกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในวันที่ 27 มกราคม นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เเละ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน นำกลุ่มเเนวร่วมคนไทยหัวใจรักชาติ ไปชุมนุมเผาหุ่นนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ นักวิชาการคณะนิติราษฎร์ บริเวณหน้าประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากนั้นได้นำรายชื่อประชาชนหลายหมื่นคนเสนอต่อศาลเพื่อขอให้อำนาจ ตุลาการเข้ารับผิดชอบในการหยุดยั้งการทำลายชาติ ตลอดการเคลื่อนไหวมีการปลุกเร้าให้รักชาติ และมีการเผาหุ่นณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ แถมเข้าไปด้วย แต่ไม่มีการชี้แจงโต้แย้งข้อเสนอนิติราษฎร์ในทางเหตุผลเลย
วันที่ 28 มกราคม ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า น.ส.จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยประชาชนประมาณ 50 คน ร่วมชูป้ายต่อต้านคณะนิติราษฎร์ที่มีข้อความ อาทิ ทำเพื่อพ่อขจัดนิติทรราชพวกอกตัญญูไม่รู้คุณแผ่นดิน หรือ นิติราษฎร์ออกไป เป็นต้น เพื่อแสดงถึงจุดยืนคัดค้านแนวคิดของกลุ่มนิติราษฎร์ น.ส.จิตภัสร์ได้อ่านแถลงการณ์ที่มีใจความว่า เรารู้สึกอึกอัด เสียใจ ซึ่งที่ผ่านมามีกระบวนการเคลื่อนไหวบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับสถาบันพระมหา กษัตริย์ ที่รักและเคารพยิ่งของคนไทยทุกคน วันนี้จึงอยากเรียกร้องให้ทุกคนที่มีจุดยืนเดียวกันคือ รักและเทิดทูนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง ทำความเข้าใจกับบุคคลที่อาจเข้าใจผิด หรือได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่น่าแปลกคือ น.ส.จิตภัสร์ไม่ได้อธิบายในเชิงเหตุผลเลยว่า คณะนิติราษฏร์เสนออะไร ไม่ถูกต้องอย่างไร มีความเป็นไปได้ว่า เธออาจจะไม่เคยอ่านข้อเสนอของนิติราษฎร์เลย
ที่เหลือเชื่อว่ากว่านั้น คือ นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวของคณะนิติราษฎร์ สร้างความแตกแยกให้เพิ่มขึ้นในบ้านเมือง ทั้งๆ ที่กำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดี มีมาตราอื่นๆ ที่สมควรแก้มากมาย แต่คณาจารย์กลุ่มนี้กลับไม่เอาสมองไปคิด แต่ขอยืนยันย้ำว่า คณะนิติราษฎร์ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และกล่าวอีกว่า น่าสงสัยถึงเจตนาในการเสนอแก้ไขกฎหมายของคณะนิติราษฎร์ว่าไปรับจ๊อบ รับงานอะไรที่มีวาระแอบแฝงมาหรือไม่ ขอให้พี่น้องประชาชน รวมทั้งลูกศิษย์ของนักวิชาการกลุ่มนี้ออกมาต่อต้านกันเยอะๆ เชื่อว่าถ้าคณะนิติราษฎร์ยังไม่หยุด จะเจอคลื่นมหาชนแน่ นายประชาสรุปว่า "ผมขอเตือนคณะนิติราษฎร์ให้ระวังไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ตอนบ้านเมืองเกิดวิกฤตพวกคุณไม่เคยออกมา หายหัวหมด วันนี้ออกมาเหมือนอยู่เมืองไทยไม่สงบสุขหรืออย่างไร" ซึ่งจะเห็นได้ว่า คำกล่าวของนายประชาแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างจากพวกกลุ่มฝ่ายขวาและพรรคประชาธิ ปัตย์ และก็ไม่ได้แย้งในเชิงเหตุผลเลยเช่นกัน
ยังมีตัวอย่างอีกมากมายถึงสภาพการรุมถล่มคณะนิติราษฎร์ โดยเฉพาะหลายคนจากพรรคประชาธิปัตย์ที่ออกมาถล่มรายวัน จนไม่อยากจะยกตัวอย่างในที่นี้ ที่น่าสังเกตคือ สื่อกระแสหลักก็ให้พื้นที่กับการรุมถล่มครั้งนี้อย่างเต็มที่ จน สาวตรี สุขศรี สมาชิกนิติราษฎร์ ได้อธิบายสถานะของกลุ่มว่า “ใครจะได้ใช้ชีวิตคุ้มกว่าชาวคณะนิติราษฎร์คงไม่มีอีกแล้วใน พ.ศ.นี้ !!... เพราะคณะฯ เราทำหรือเป็นมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะ รับงานทักษิณ ล้มเจ้า ล้มรัฐบาล รับงานอเมริกา เนรคุณคนให้ทุน เป็นทรอสกี้อิสต์ เป็นพวกสร้างความแตกแยก ไร้เดียงสา วิชาเกิน เป็นคอมมิวนิสต์ พวกอยากดัง พวกคลั่งประชาธิปไตย พ่อแม่ไม่สั่งสอน นักวิชาการกำมะลอ สวะสังคม กินยาผิด สมองปลายเปิด ศาสดา หรือกระทั่ง ปลาโลมา”
ความจริงแล้ว มาตรา 112 เป็นเพียงมาตราหนึ่งในกฎหมายอาญา ที่ว่าด้วยการป้องกันสถานะอันแตะต้องมิได้ของพระมหากษัตริย์ พระราชินี มกุฎราชกุมาร และ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่กลุ่มฝ่ายขวา พรรคประชาธิปัตย์ และชนชั้นนำสมองปลายปิด ได้ทำให้กฎหมายมาตรานี้ กลายเป็นเรื่องแตะต้องไม่ได้ไปด้วย แต่ไม่มีนักวิชาการฝ่ายขวาหรือเนติบริกรคนใด ย้อยไปตำหนิ อำนาจเผด็จการเมื่อ พ.ศ.2519 ที่แก้ไขมาตรา 112 โดยพลการ ด้วยการเพิ่มการลงโทษให้รุนแรงมากขึ้น จนชาวบ้านเดือดร้อน และทำให้ประเทศไทยมีกฏหมายป้องกันประมุขที่มีบทลงโทษสูงสุดในโลก คนเหล่านี้ พร้อมรับอำนาจเผด็จการอย่างหน้าชื่น แต่ไม่พร้อมจะอภิปรายในเชิงเหตุผลกับคนที่คิดแตกต่าง
การเคลื่อนไหวโจมตีคณะนิติราษฎร์ที่เกิดขึ้นในระยะ 2 สัปดาห์นี้ จึงเป็นการสะท้อนว่า สังคมไทยยังอยู่ในยุคล่าแม่มดอย่างแน่นอน เหมือนกับช่วงปลายสมัยกลางของประวัติศาสตร์ยุโรป ที่ชนชั้นนำในสังคม สร้างกรอบให้คนคิดและศรัทธาต่อพระเจ้าในแบบเดียวกัน ถ้าใครคิดต่าง หรือศรัทธาพระเจ้าแบบอื่น จะถูกกล่าวหาว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นแม่มด และจะถูกลงโทษโดยการเผาทั้งเป็น ทำให้มีการเผาทำลายชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ต่อมา ในสมัยแห่งเหตุผล จึงได้มีการเสนอหลักการเรื่องเสรีภาพทางความคิด และความเชื่อ และกลายเป็นหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย เพราะชาวยุโรปได้สรุปบทเรียนมาแล้วว่า ยุคแห่งการล่าแม่มด เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เสรีภาพในการความคิดที่แตกต่างจึงได้รับการยอมรับ และทำให้สังคมพัฒนาต่อมา
ในสังคมไทยก็เคยมีบทเรียนมาแล้ว ในกรณีขวาคลั่ง นั่นคือเหตุการณ์ช่วงหลังกรณี 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 ในขณะนั้น มีการเติบโตของแนวคิดสังคมนิยมในขบวนการนักศึกษา กลุ่มชนชั้นนำก็ตอบโต้โดยการตั้งกลุ่มขวาคลั่งขึ้นมาต่อต้าน และปลุกกระแสขวาจัดในลักษณะเดียวกัน และท้ายที่สุดก็ได้อ้างกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นเงื่อนไขในการสร้าง กระแสการเข่นฆ่าปราบปรามนักศึกษาผู้บริสุทธิ์ แล้วก่อการรัฐประหารทำลายประชาธิปไตยในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 กระแสขวาคลั่งครั้งนั้นยังเป็นบทเรียนสำคัญ ที่สร้างความเสียหายแก่สังคมไทยมากมาย ทำให้การเมืองไทยล้าหลังไปหลายปี
มาถึงวันนี้ ชนชั้นนำไทยควรจะต้องสรุปบทเรียน และยอมรับในเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเสียที การคัดค้านหรือไม่เห็นด้วยกับคณะนิติราษฎร์ทำได้โดยการแลกเปลี่ยนเหตุผล ไม่ใช่การสร้างกระแสขวามาข่มขู่คุกคาม และถ้าหากมีการแลกเปลี่ยนด้วยเหตุผล สังคมไทยจะบรรลุวุฒิภาวะที่จะทำให้ประชาชนฉลาดขึ้นโดยทั่วกัน