ข่าวผู้ก่อการร้ายที่ประสงค์จะป่วนกรุงเทพฯ  สร้างความระส่ำระสายในระดับรัฐบาลอย่างชัดเจน  รัฐมนตรีบางท่านแสดงอาการหงุดหงิดจนเห็นได้ชัด  ที่จริงก็น่าเห็นใจที่ว่ามีปัญหาความไม่สงบทีไรก็จะสูญเสียนักท่องเที่ยว ทุกที ดูกราฟรูปที่ 1 
 รูปที่ 1 จำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติระหว่างปี พ.ศ. 2513-2552 
 
ในช่วงที่การท่องเที่ยวไทยกลายเป็นภาคเศรษฐกิจที่รัฐให้ความสำคัญมาก ขึ้นๆ ก็เกิดปรากฎการณ์ที่เป็นช็อก (Shock)  ทั้งด้านบวกและลบที่ทำให้การขยายตัวของนักท่องเที่ยวนานาชาติต้องชะลอตัว หลายครั้ง (ตารางที่ 1) เช่น โรคอุบัติใหม่เช่น โรคซาร์ส  ซึ่งได้กลายมาเป็นโรคประจำถิ่น  ความไม่สงบทางการเมืองซึ่งในอดีตเกิดขึ้นในต่างประเทศ เช่น  การก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกาและยุโรป แต่ส่งผลกระทบมายังไทย แต่ใน 2-3  ปีที่ผ่านมาเกิดความไม่สงบทางการเมืองอย่างรุนแรงในประเทศ  โดยเฉพาะการยึดสนามบินสุวรรณภูมิและการบุกเข้าประชิดห้องประชุมของผู้นำนานา ประเทศในการประชุมที่พัทยา  ทำให้สถานการณ์การท่องเที่ยวซบเซาลงอย่างต่อเนื่อง  และยังถูกกระหน่ำซ้ำเติมด้วยการถดถอยของเศรษฐกิจทั่วโลก  เนื่องจากความล้มเหลวของสถาบันการเงินของประเทศสหรัฐอเมริกาและหลายประเทศใน ประชาคมยุโรป  เหตุการณ์เหล่านี้ยิ่งทำให้รัฐบาลโหมการลงทุนในด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ มากขึ้น
 แต่ความจริง ก็คือ นักท่องเที่ยวกลัวโรคระบาดมากกว่า  การศึกษาของคุณอัครพงศ์ อั้นทอง สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ พบว่า  การสูญเสียสูงสุดจะเกิดจากโรคระบาดต่างๆ มากกว่าวิกฤตทางการเมือง (ตารางที่  1)
 ตารางที่ 1 จำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สูญเสียจากเหตุการณ์วิกฤตสำคัญระหว่างปี พ.ศ. 2544-2552 
 
ที่ผ่านมามุมมองของผู้กำหนดนโยบายท่องเที่ยวไทย  เป็นมุมมองที่สนใจแต่ผู้ประกอบการเพราะเป็นมุมมองที่หวังรายได้  โดยมีผู้ประกอบการเป็นฐานเสียง  ไม่ใช่มุมมองของคนไทยทั้งปวงในฐานะเจ้าของทรัพยากรท่องเที่ยว  มุมมองนโยบายดังกล่าว ก่อให้เกิดผลกระทบด้านการกระจายรายได้  ความเสื่อมโทรมด้านสิ่งแวดล้อม และความร่อยหรอของทรัพยากรท่องเที่ยว  ซึ่งเป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน
 หากเราปล่อยให้การท่องเที่ยวไทยพัฒนาไปในรูปแบบปัจจุบัน  คือเน้นด้านการตลาดและการหารายได้แต่เราปล่อยให้การบริหารจัดการท่องเที่ยว ยังแยกส่วนดังเช่นปัจจุบัน  หากเราปล่อยให้ใครมือยาวสาวได้สาวเอาจากทรัพยากรท่องเที่ยว  อนาคตการท่องเที่ยวไทยจะเป็นอย่างไร? ซึ่งในวันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2555  จะมีการประชุมเรื่อง“ท่องเที่ยวไทย: ก้าวย่างอย่างไรเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” 
 นโยบายสาธารณะของไทยที่ผ่านมาเน้นด้านการตลาดหรือด้านอุปสงค์ (Demand)  เป็นหลัก และเป็นนโยบายที่เน้นผลประโยชน์ให้แก่ธุรกิจ  ดังนั้นประชาชนคนไทยทั่วไปมีความเห็นต่อนโยบายสาธารณะในด้านการท่องเที่ยว อย่างไรจึงเป็นประเด็นที่สำคัญ  เพราะคนไทยเป็นองค์ประกอบสำคัญของการท่องเที่ยว  การศึกษาของสถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ ม.เชียงใหม่ พบว่า  อัธยาศัยคนไทยเป็นองค์ประกอบการท่องเที่ยวที่คนต่างชาติพอใจมากที่สุด  การที่ประชาชนคนไทยไม่เห็นด้วยกับนโยบายการท่องเที่ยวจะทำให้ประเทศไทยไม่ สามารถยืนหยัดในการแข่งขันระหว่างประเทศด้านการท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืน  การประชุมนี้ยังตอบคำถามด้วยว่าสถานภาพและความสามารถในการแข่งขันของไทย  (Competitiveness) เทียบกับคู่แข่งนานาประเทศเป็นอย่างไร 
 การประชุมสัมมนาทางวิชาการในครั้งนี้ก็เพื่อตอบคำถามหลักๆ ว่า  คนไทยได้อะไรจากการส่งเสริมการท่องเที่ยว  ภาคเศรษฐกิจท่องเที่ยวสร้างผลประโยชน์และต้นทุนอะไรให้แก่ประเทศไทย  ภาคท่องเที่ยวจะคืนทุนให้แก่สังคมอย่างไร  ประเด็นเชิงนโยบายที่ควรระมัดระวังในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในอนาคตจะเป็น อย่างไร  การสัมมนาครั้งนี้ยังได้เน้นการศึกษาความสามารถในการแข่งขันของไทยกับนานา ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  และได้เชิญผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศมาร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์  Branding ของสเปน อีกด้วย ซึ่งการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นที่ โรงแรม รามา  การ์เด้น กรุงเทพฯ เวลา 08.00 - 16.30 น. จองที่นั่งฟรี เหลือจำนวน 50  ที่นั่ง สามารถติดต่อเข้าร่วมการประชุมได้ที่สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โทรศัพท์ 0-5332-7590-1 ต่อ 11 โทรสาร 0-5332-7590-1  ต่อ 16 หรือ E-mail:aunapaporn99@gmail.com
