โดย ลูกชาวนาไทย
ตอนนี้สถานการณ์แนวรบด้านกระทรวงกลาโหมนั้นร้อนแรงกว่า เรื่องการโจมตีรัฐมนตรีโดยลมปากจากสื่อบ้าง จาก ปชป.บ้าง จากพวก สว.สรรหาบ้าน ผมว่าเป็นเรื่องนินทากาเล ลมปากไม่มีความหมายอะไรมากนัก เพราะการเมืองไทยได้พ้นยุคประชาชนเป็นกลางไม่เป็นแฟนคลับของพรรคใด ฝ่ายใด เชียร์แต่นักการเมืองฝีปากกล้า คารมดี แล้วค่อยตัดสินใจในวันเลือกตั้งไปแล้ว
วันนี้การเมืองเลือกข้าง แบ่งสี แบ่งขั้ว เลือกอุดมการณ์ รับเงินหมาแต่กาเบอร์ 1 แล้ว
โวหารคารม การโจมตี ป้ายสี ไม่มีความหมายแล้ว
การ ปิดล้อมทางสื่อ การสาดโคลนข้างเดียว หากมันได้ผล ป่านนี้พรรคเพื่อไทย แพ้เลือกตั้งกราวรูด แตกกระจัดกระจาย กลายเป็นพรรคต่ำสิบไปนานแล้ว นายมาร์คคงได้เป็นนายกฯ จากการเลือกตั้งคะแนนท้วมท้นรอบสองไปแล้ว
แนว รบวันนี้อยู่ที่กระทรวงกลาโหม แม้ทุกฝ่ายจะสัมภาษณ์ว่าไม่มีปัญหา แต่การให้สัมภาษณ์แบบนี้มันคือ "มีปัญหา และกำลังตั้งป้อมคอยดู" หากไม่มีปัญหาจริงๆ ก็คงไม่มีใครพูดอะไร รอต้อนรับรัฐมนตรีอย่างเดียวไปนานแล้ว
พล.อ.อ.สุกำพล ในที่สุดก็คงเข้าไปแก้ไขบางอย่างในกระทรวงกลาโหม สลายความพร้อมที่จะทำรัฐประหาร และการสืบต่อสายอำนาจของพวกนายทหารที่เติบโตมาจากการทำรัฐประหารในปี 2549 แน่นอน
การที่ พล.อ.เปรม ยอมออกมาพบกับนายกฯปู แล้วมีการตีภาพข่าวของการปรองดองกระพือกันเต็มที่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีมาก่อน นั้นแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ฝ่ายตรงข้ามนั้น "หวั่นไหว" อย่างเต็มที่จึงต้อง "มีการเคลื่อนไหว" ให้เราเห็นว่า จากสงบนิ่งเป็นขยับบ้างแล้ว
วันนี้กองทัพไทยนั้น แม้จะยังมีอุดมการณ์แบบอำมาตย์ แต่มันก็พ้นยุค "ขุนศึก" ไปนานแล้ว การทำรัฐประหาร ด้วยเงื่อนไขว่า "เพราะถูกย้าย" เลยใช้กองทัพมาปกป้องตนเองนั้น ผมไม่คิดว่ามันจะสามารถทำได้ในเงื่อนไขการเมืองที่กำลังเผชิญหน้า การจัดตั้งของคนเสื้อแดงเข็มแข็ง และชาวโลกจ้องตาเขม็งอยู่ แล้วกองทัพก็มาทำรัฐประหาร เพราะ พล.อ.ประยุทธื จันโอชา และพวก บูรพาพยัคฆ์โดนย้าย
หากเกิดขึ้นในประเทศไทยตอนนี้ แสดงว่ากองทัพไทยังล้าหลังทางความคิดอย่างยิ่ง
แน่ นอนการทำรัฐประหารปี 2549 ไม่ใช่การทำรัฐประหารของกองทัพ แต่เป็นการทำรัฐประหาร "ของชนชั้นนำ" พวกอำมาตย์ โดยใช้กองทัพเป็นเครื่องมือ
เป็นการทำรัฐประหารเพื่อผลประโยชน์ของชนชั้น ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตัวของ นายพลคนใดในกองทัพ ที่เป็นเรื่องส่วนตัวเพียวๆ
วันนี้ไม่มีนายพลคนใดของไทย มีบารมีขนาดนั้น แบบนั้นมันต้อง นายพลเนวิน หรือนายพลซอหม่องของพม่าแล้ว
วันนี้ กองทัพทำรัฐประหารได้ด้วยความยากลำบาก ดังนั้นอำนาจต่อรองของกองทัพจริงๆ นั้น "มีไม่มากนัก" นอกจากเป็นอำนาจการบลั๊ฟหรือขู่เท่านั้น หาก "พล.อ.อ.สุกำพล" ไม่แคร์กับการบลัีพนั้น สิ่งที่เหลือป้องกันตัวของทหารมีอย่างเดียวคือ พรบ.จัดระเบียบกลาโหม เท่านั้น
เกมจะไปอยู่ตรงการแก้ไข พรบ.จัดระเบียบกลาโหมแน่นอน
ยก เว้นว่าฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์จะฉลาดกว่าเมื่อปีที่แล้ว คือ "แทนที่จะถอยสักก้าวสองก้าว" เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามไม่จนมุมจนต้องแตกหัก ต้องเปลี่ยนเอา พล.อ.อ.สุกำพล มาแทน พล.อ.ยุทธศักดิ์ ปีที่แล้วหากประยุทธ์ ฉลาดกว่านี้ ยอมถอยสักสองก้าว ให้มีการเปลี่ยนโผได้ในระดับที่ ตัวเองไม่เสียฐานสำคัญ การรุกหนักของพรรคเพื่อไทยในวันนี้ก็ไม่เกิดขึ้น
การไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว สุดท้ายก็จะโดนกินทั้งกระดานเป็นแน่
เพราะ ประยุทธ์จริงๆ ก็ไม่เหลืออะไร นอกจาก พรบ.จัดระเบียบกลาโหม กับ จำนวนเสียงโหวต ของ ผบ.เหล่าทัพเท่านั้น แต่หาก พรบ.โดนแก้ไข อำนาจต่อรองตรงนี้ก็หมดไป
วันนี้ผมเชียร์ พล.อ.อ.สุกำพล ครับ
แม้ตอนรับตำแหน่ง รมต.คมนาคม ผลงานไม่ประทับใจมากนัก แต่นั่นเป็นเพราะใช้คนไม่ถูกกับงาน เท่านั้นเอง
ใช้คนตาบอดให้ไปเย็บผ้า สอดรูเข็ม ถึงอย่างไรมันก็ไปไม่รอด คนตาบอดต้องเอาไปหมุนกี่ทอผ้า หมุนอย่างเดียวไม่ต้องทำอย่างอื่น
วันนี้การเมืองเลือกข้าง แบ่งสี แบ่งขั้ว เลือกอุดมการณ์ รับเงินหมาแต่กาเบอร์ 1 แล้ว
โวหารคารม การโจมตี ป้ายสี ไม่มีความหมายแล้ว
การ ปิดล้อมทางสื่อ การสาดโคลนข้างเดียว หากมันได้ผล ป่านนี้พรรคเพื่อไทย แพ้เลือกตั้งกราวรูด แตกกระจัดกระจาย กลายเป็นพรรคต่ำสิบไปนานแล้ว นายมาร์คคงได้เป็นนายกฯ จากการเลือกตั้งคะแนนท้วมท้นรอบสองไปแล้ว
แนว รบวันนี้อยู่ที่กระทรวงกลาโหม แม้ทุกฝ่ายจะสัมภาษณ์ว่าไม่มีปัญหา แต่การให้สัมภาษณ์แบบนี้มันคือ "มีปัญหา และกำลังตั้งป้อมคอยดู" หากไม่มีปัญหาจริงๆ ก็คงไม่มีใครพูดอะไร รอต้อนรับรัฐมนตรีอย่างเดียวไปนานแล้ว
พล.อ.อ.สุกำพล ในที่สุดก็คงเข้าไปแก้ไขบางอย่างในกระทรวงกลาโหม สลายความพร้อมที่จะทำรัฐประหาร และการสืบต่อสายอำนาจของพวกนายทหารที่เติบโตมาจากการทำรัฐประหารในปี 2549 แน่นอน
การที่ พล.อ.เปรม ยอมออกมาพบกับนายกฯปู แล้วมีการตีภาพข่าวของการปรองดองกระพือกันเต็มที่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีมาก่อน นั้นแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ฝ่ายตรงข้ามนั้น "หวั่นไหว" อย่างเต็มที่จึงต้อง "มีการเคลื่อนไหว" ให้เราเห็นว่า จากสงบนิ่งเป็นขยับบ้างแล้ว
วันนี้กองทัพไทยนั้น แม้จะยังมีอุดมการณ์แบบอำมาตย์ แต่มันก็พ้นยุค "ขุนศึก" ไปนานแล้ว การทำรัฐประหาร ด้วยเงื่อนไขว่า "เพราะถูกย้าย" เลยใช้กองทัพมาปกป้องตนเองนั้น ผมไม่คิดว่ามันจะสามารถทำได้ในเงื่อนไขการเมืองที่กำลังเผชิญหน้า การจัดตั้งของคนเสื้อแดงเข็มแข็ง และชาวโลกจ้องตาเขม็งอยู่ แล้วกองทัพก็มาทำรัฐประหาร เพราะ พล.อ.ประยุทธื จันโอชา และพวก บูรพาพยัคฆ์โดนย้าย
หากเกิดขึ้นในประเทศไทยตอนนี้ แสดงว่ากองทัพไทยังล้าหลังทางความคิดอย่างยิ่ง
แน่ นอนการทำรัฐประหารปี 2549 ไม่ใช่การทำรัฐประหารของกองทัพ แต่เป็นการทำรัฐประหาร "ของชนชั้นนำ" พวกอำมาตย์ โดยใช้กองทัพเป็นเครื่องมือ
เป็นการทำรัฐประหารเพื่อผลประโยชน์ของชนชั้น ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตัวของ นายพลคนใดในกองทัพ ที่เป็นเรื่องส่วนตัวเพียวๆ
วันนี้ไม่มีนายพลคนใดของไทย มีบารมีขนาดนั้น แบบนั้นมันต้อง นายพลเนวิน หรือนายพลซอหม่องของพม่าแล้ว
วันนี้ กองทัพทำรัฐประหารได้ด้วยความยากลำบาก ดังนั้นอำนาจต่อรองของกองทัพจริงๆ นั้น "มีไม่มากนัก" นอกจากเป็นอำนาจการบลั๊ฟหรือขู่เท่านั้น หาก "พล.อ.อ.สุกำพล" ไม่แคร์กับการบลัีพนั้น สิ่งที่เหลือป้องกันตัวของทหารมีอย่างเดียวคือ พรบ.จัดระเบียบกลาโหม เท่านั้น
เกมจะไปอยู่ตรงการแก้ไข พรบ.จัดระเบียบกลาโหมแน่นอน
ยก เว้นว่าฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์จะฉลาดกว่าเมื่อปีที่แล้ว คือ "แทนที่จะถอยสักก้าวสองก้าว" เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามไม่จนมุมจนต้องแตกหัก ต้องเปลี่ยนเอา พล.อ.อ.สุกำพล มาแทน พล.อ.ยุทธศักดิ์ ปีที่แล้วหากประยุทธ์ ฉลาดกว่านี้ ยอมถอยสักสองก้าว ให้มีการเปลี่ยนโผได้ในระดับที่ ตัวเองไม่เสียฐานสำคัญ การรุกหนักของพรรคเพื่อไทยในวันนี้ก็ไม่เกิดขึ้น
การไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว สุดท้ายก็จะโดนกินทั้งกระดานเป็นแน่
เพราะ ประยุทธ์จริงๆ ก็ไม่เหลืออะไร นอกจาก พรบ.จัดระเบียบกลาโหม กับ จำนวนเสียงโหวต ของ ผบ.เหล่าทัพเท่านั้น แต่หาก พรบ.โดนแก้ไข อำนาจต่อรองตรงนี้ก็หมดไป
วันนี้ผมเชียร์ พล.อ.อ.สุกำพล ครับ
แม้ตอนรับตำแหน่ง รมต.คมนาคม ผลงานไม่ประทับใจมากนัก แต่นั่นเป็นเพราะใช้คนไม่ถูกกับงาน เท่านั้นเอง
ใช้คนตาบอดให้ไปเย็บผ้า สอดรูเข็ม ถึงอย่างไรมันก็ไปไม่รอด คนตาบอดต้องเอาไปหมุนกี่ทอผ้า หมุนอย่างเดียวไม่ต้องทำอย่างอื่น