ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Wednesday, 25 January 2012

"สุรชัย แซ่ด่าน" ตัดสินใจรับสารภาพ 2 คดี นัดพิพากษา 28 ก.พ. นี้

ที่มา Thai E-News


24 มกรามคม 2555
โดยทีมข่าว ไทยอีนิวส์

หลัง จากประกาศอดอาหารประท้วงเมื่อวาน วันนี้ที่ที่ศาลอาญา รัชดา ประชาไทรายงานข่าวว่า สุรชัยกลับคำรับสารภาพ และศาลนัดวันพิพากษาคดีวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555

ที่มา ประชาไท

24 ม.ค.55 ห้องพิจารณาคดี 801 ศาลอาญา ถนนรัชดา ศาลนัดสืบพยานโจทก์คดีหมายเลขดำที่ อ.1620/2554 ที่พนักงานอัยการ ฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้องนายสุรชัย แซ่ด่าน หรือด่านวัฒนานุสรณ์ เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จำเลยได้กลับคำให้การที่ปฏิเสธในชั้นสอบสวน เป็นรับสารภาพ ศาลนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 28 ก.พ.55 โดยมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติไปสืบเสาะประวัติของจำเลยเพื่อนำมาประกอบ การพิจารณาภายใน 30 วัน

นายคารม พลพรกลาง ทนายความของนายสุรชัย ให้สัมภาษณ์ว่า คดีนี้เหตุเกิดในงานสัมมนาที่อิมพีเรียล ลาดพร้าว ท้องที่ สน.โชคชัย ขณะที่ยังมีอีกคดีหนึ่งที่ศาลรับฟ้องแล้วคือคดีที่ดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ศาลออนุญาตตามที่จำเลยร้องขอให้หยิบคดีหลังซึ่งนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 30 ม.ค.55 นี้มาพิจารณาโดยผู้พิพากษาคณะเดียวกันเลยในวันนี้ เนื่องจากจำเลยจะรับสารภาพทั้งหมด ดังนั้น ในวันที่ 28 ก.พ.นี้จะมีการพิพากษาทั้งสองคดี

ทั้งนี้เว็บไซต์ศาลอาญาระบุคำฟ้อง ของโจทก์ในคดีหมายเลขดำที่ อ.1620/2554 ว่า “เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2553 เวลาประมาณ 1830 นาฬิกา ถึงเวลากลางคืนหลังเที่ยงต่อเนื่องกัน จำเลยพูดกล่าวข้อความ ใส่ความ อันเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาตร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ต่อประชาชนผู้มาฟังการชุมนุมปราศรัย “เสวนาตาสว่างกว่าเดิม ครั้งที่ 2 โดย 4 ส.” ว่ามีส่วนบงการหรืออยู่เบื้องหลังทางการเมือง และเป็นเหตุให้เกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองอย่างรุนแรง โดยจำเลยมีเจตนาที่จะทำให้ประชาชนทั่วไปเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เหตุเกิดที่ แขวงคลองเจ้าคุณสิงห์ เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร และทั่วราชอาณาจักรเกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112”

ส่วนคดีที่ดอยสะเก็ด นั้น คือคดีหมายเลขดำที่ อ.3187/2554 ระบุว่า “วันที่ 11 กันยายน 2553 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้าย ต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ด้วยการพูดปราศรัยต่อประชาชน ณ เวทีปราศรัยชั่วคราว บริเวณสนามกีฬาเทศบาลตำบลดอยสระเก็ด ต.เชิงดอย อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ เหตุเกิดที่ ต.เชิงดอย อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112”

นาง ปราณี ด่านวัฒนานุสรณ์ ภรรยานายสุรชัย กล่าวว่า ทราบว่ายังมีคดีอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวนอีกอย่างน้อย 2 คดี ซึ่งที่ผ่านมาตนเองได้เรียกร้องไปยังคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความ จริงเพื่อความปรองดอง (คอป.) ให้ประสานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้รวมคดีทั้งหมด เพื่อให้คดีสิ้นสุดโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นก็จะทยอยฟ้องต่อไปได้เรื่อยๆ แม้ว่าจะรับสารภาพไปแล้ว


0 0 0 0 0



23 มกราคม 2555
ที่มา ประชาไท

23 ม.ค.55 มีรายงานข่าวจากผู้เข้าเยี่ยมผู้ต้องขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระบุว่า นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือแซ่ด่าน ผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือความผิดตามมาตรา 112 ได้เตรียมยื่นหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมราชทัณฑ์กรณีที่ผู้ต้องขังคดี หมิ่นฯ ไม่ได้รับการพิจารณาให้ย้ายไปยังเรือนจำชั่วคราว และจากนั้นหากไม่มีความคืบหน้าสุรชัยเตรียมจะอดอาหารประท้วง

นาย สุรชัยระบุว่า การจะพิจารณาว่าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามมาตรา 112 เป็นผู้ต้องหาทางการเมืองหรือไม่ ต้องพิจารณาถึง1.กระบวนการทางความคิด 2.พฤติการณ์การกระทำผิด และ 3.สถานการณ์การเมืองในขณะนั้น สำหรับกระบวนทางความคิดนั้นเป็นที่ชัดเจนว่าตนเองมีกระบวนทางความคิดทางการ เมืองมาตลอด 40 ปี คดีนี้ถือเป็นการกระทำผิดทางมโนธรรม ซึ่งเป็นความผิดขั้นสูงกว่าการร่วมชุมนุมเสียอีก ส่วนพฤติการณ์การกระทำความผิด ก็เกิดจากการเปิดเวทีอภิปรายซึ่งเป็นการกล่าวอย่างเป็นเหตุเป็นผล เป็นระบบ ไม่ได้ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายต่อผู้ใด ส่วนสถานการณ์การเมืองหรือบริบทในเวลานั้นก็เห็นได้ชัดว่ามีการนำสถาบันมา เป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์

สุ รชัยระบุว่า เมื่อรวมทั้งสามอย่างนี้แล้วสามารถสรุปได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ตามมาตรา 112 นั้นมีสถานภาพเป็นนักโทษการเมืองอย่างไม่มีทางปฏิเสธได้ ควรได้รับการควบคุมตัวในสถานที่ควบคุมตัวพิเศษ ไม่ว่าระหว่างการพิจารณาคดีหรือแม้แต่ส่วนที่ได้รับโทษเด็ดขาดแล้ว เพราะคดีนี้มีความอ่อนไหว มีแรงเสียดทานสูง ไม่มีความปลอดภัยเมื่ออยู่รวมกับผู้ต้องขังทั่วไป ที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีผู้ต้องขังคดีนี้หลายคนถูกทำร้าย แม้แต่ตนเองซึ่งนับว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงและมีประสบการณ์การติดคุกมานานก็ ยังถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากเจ้าหน้าที่ที่มีความคิดตรงข้าม ทำให้ที่ผ่านมาตนประกาศจะอดข้าวไปแล้วครั้งหนึ่ง กรณีที่มีเจ้าหน้าที่โยนอาหารของตนลงกับพื้น จนผู้บังคับบัญชาระดับสูงต้องมาไกล่เกลี่ย

สุรชัยระบุอีกว่าไม่เห็น ด้วยที่คณะกรรมการที่พิจารณาเงื่อนไขของผู้จะได้ รับการย้ายไปเรือนจำใหม่เป็นข้าราชการประจำจากราชทัณฑ์ เพราะย่อมมีความเกรงกลัวต่อแรงเสียดทาน เห็นพรรคประชาธิปัตย์ออกมาค้านก็กลัว ทั้งที่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดอง (คอป.) ก็เสนอให้ครอบคลุมถึงผู้ต้องโทษคดีหมิ่นฯด้วยแล้วก็ตาม ดังนั้น ผู้พิจารณาเรื่องนี้ควรเป็นรัฐบาลและฝ่ายการเมือง

“ถูกคดี หมิ่นเป็นการเมืองขั้นสูงกว่า ส.ส.กระทำผิดเสียอีก ถ้าไม่นับเท่ากับดูถูกเรา เราสู้มาตั้ง 40 ปี ถ้าอาทิตย์นี้ผ่านไปยังไม่มีคำตอบ สิ่งที่จะทำต่อไปคืออดอาหารประท้วง” สุรชัยกล่าว

หวังตั้ง "เครือข่ายผู้ต้องขัง" เดินเรื่องประกันเอง

ธัน ย์ฐวุฒิ (ของสงวนนามสกุล) ระบุว่า อย่างไรนักโทษคดีหมิ่นฯ ก็ควรจะต้องได้รับการย้ายไปเรือนจำชั่วคราวด้วย เพราะผู้ต้องโทษคดีนี้ซึ่งเป็นคดีทางความคิดแต่เมื่ออยู่ในเรือนจำจะลำบาก กว่าปกติ ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ช่วงแรกหลายคนถูกกลั่นแกล้งด้วย นอกจากนี้ในสายตาของเขาคดีนี้ถือเป็นการเมืองมากที่สุด เพราะข้อหานี้ถูกนำมาใช้กลั่นแกล้งทางการเมืองได้ง่าย

“เราไม่ได้ หวังว่าที่นั่นจะสุขสบายกว่านี้ มันไม่สำคัญเท่ากับการได้อยู่เป็นกลุ่มก้อน มีคนมาเยี่ยม แบบที่ไม่ใช่เยี่ยมนักโทษอาญา แต่มาเยี่ยมในฐานะสหายร่วมรบ และอย่างน้อยที่สุดข่าวสารต่างๆ จะได้รับรู้กันอย่างรวดเร็ว” ธันย์ฐวุฒิกล่าว

เขาระบุด้วยว่าอยากให้มีกลุ่ม “เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกคุมขังจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการ เมืองตั้งแต่รัฐประหาร 2549” โดยให้ทนายหรือตัวแทนของผู้ต้องขังจัดแถลงข่าวข้อเรียกร้อง ความคืบหน้าต่างๆ เป็นระยะ โดยเฉพาะเรื่องประกันตัวโดยประสานกับรัฐบาลโดยตรง ไม่ขึ้นต่อ นปช.

สมยศตระเวรคุกหลายจังหวัด ระบุแออัดขั้นวิกฤต


สม ยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ต้องขังคดีหมิ่นอีกรายที่เพิ่งถูกย้ายกลับมายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ หลังต้องย้ายที่คุมขังไปยังจังหวัดสระแก้ว เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ เพื่อสืบพยานโจทก์และมีกำหนดต้องไปจังหวัดสงขลาอีก ระบุว่า สภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำต่างจังหวัดค่อนข้างแย่ เนื่องจากมีนักโทษล้นเกิน

“มันแออัดทุกตารางนิ้ว เคยเห็นหมาโดนยัดขังกรงในรถแบบที่ออกข่าวไหม นั่นแหละ คุกเมืองไทยวิกฤตแล้ว”

สำหรับ ประเด็นการย้ายผู้ต้องขังคดีการเมืองไปยังเรือนจำแห่งใหม่นั้น สมยศระบุว่าตนเองเฉยๆ กับเรื่องนี้ แม้มันอาจจะดีในแง่จำแนกแยกแยะคนได้ แต่บางทีการเอานักโทษการเมืองไปอยู่รวมกันอาจเป็นประโยชน์กับรัฐในแง่การ ควบคุมได้สะดวกยิ่งขึ้นด้วยซ้ำไป นอกจากนี้ที่คุมขังใหม่ยังมีสภาพเป็นตึกที่ไม่มีสนามหรือพื้นที่โล่ง

“คุกการเมืองมันควรจะดีกว่านี้ เพราะมันเป็นคดีทางความคิด และเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย” สมยศกล่าว