ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Saturday, 17 December 2011

"การพยากรณ์" กับ "สังคมไทย"

ที่มา ประชาไท

ความเชื่อเป็นสิ่งที่อยู่กับสังคมไทยมาช้านาน อาจจะด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ แต่เราก็ต้องยอมรับว่ามันไม่สามารถแยกออกได้เลยกับชีวิตประจำวันของเรา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เมื่อคุณเดินทางไปที่ใดก็แล้วแต่ในบ้านเมืองเราสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสิ่ง ต่างๆเหล่านี้มีอยู่ทุกแห่ง เช่น เมื่อคุณเดินทางไปตามท้องถนนมีผ้าสามสีที่ผูกไว้เต็มต้นไม้ราวกับว่าจะไม่ ให้มันหายใจ บ้านหลังเล็กๆเสาเดียวที่เต็มไปด้วยของเส้นไหว้ หรือแม้แต่ชุดไทยต่างๆนาๆแขวนเรียงรายจนคิดว่าชาตินี้ก็ใส่ไม่หมด เป็นต้น
แน่ล่ะว่า เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คนบางคนอาจจะเชื่ออย่างแรงกล้าและไม่มีความสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ประหนึ่งราวกับว่านี่มันคือชีวิต นี้มันคือเรื่องธรรมดาเท่านั้น นี่คือความจริงที่ไม่จำเป็นต้องแทนที่ด้วยคำอธิบายอื่นใดแล้ว เอาเข้าจริงการเชื่อเรื่องนี้ก็มิได้ทำให้ใครเดือดร้อน แถมบางทีอาจจะทำให้รวยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ในบางกรณี
เมื่อเรากล่าวถึง ความเชื่อ ก็คงหนีไม่พ้นที่จะเกี่ยวพันไปถึงคำว่า การพยากรณ์ หรือ ดูดวง ตามภาษาชาวบ้านเป็นแน่ เสียงที่ก้องกังวานอยู่ในหูทุกผู้ทุกคน เช่น “ เมื่อไรกูจะรวย ความรักเป็นไง ทำอย่างนี้ดีไหม อนาคตเป็นอย่างไร ” นี่คือคำพูดของชาวบ้าน บุคคลทั่วไปซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นคำถามเบื้องต้นที่ถามต่อผู้พยากรณ์ หรือ “ หมอดู ” ตามแบบไทยๆ
ในวันที่หลายคนเชื่อมันด้วยความบริสุทธิ์ใจ โดยที่ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ใดๆมาอธิบายให้เสียเวลา ข้าพเจ้ากลับมานั่งคิดว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้มันเกิดจากอะไรเล่า ทำไมสิ่งเหล่านี้มันจึงมีอำนาจเหนือหลายๆคน ไม่ว่าคนที่ไม่มีการศึกษา จนถึงการศึกษาสูง แม้แต่คนจนไปถึงคนรวยก็ตาม เช่น บริษัทอาหารยักษ์ใหญ่กลับเลือกที่พิจารณารับพนักงานเข้าทำงานจากโหงวเฮ้ง มากกว่าความสามารถ เป็นต้น
ดังนั้น บทความชิ้นนี้ ข้าพเจ้าจะมองข้ามความเชื่อแบบเดิมๆโดยมาดูว่าเหตุใดการ พยากรณ์ จึงมีบทบาทอย่างมาก ในสังคมแห่งนี้
ความเป็นมาในอดีต
การเกษตรไทย กับ การพยากรณ์
นี่คือจุดเริ่มก็ได้ที่ข้าพเจ้าจะนำมากล่าวถึง ในสมัยก่อนการเกษตรมิได้มีความรู้จักกับคำว่า อุตุนิยมวิทยา การไปทำการเกษตรนอกบ้านแต่ละครั้งมิได้มีสื่อที่จะคอยบอกอย่างปัจจุบันนี้ แต่มันทำอย่างไรเล่า กล่าวคือ
เมื่อสมัยก่อนคนจะออกไปทำนานั้นทำอย่างไร เขาก็คงมองฟ้าก่อนว่า มืด หรือ สว่าง มืดก็แปลว่า ฝนจะตกก็คงมิต้องออกไปทำนาให้เสียเวลา
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การเกษตรเป็นพื้นฐานสำคัญในการประกอบอาชีพของประชากรไทยการที่ไม่มี เทคโนโลยี และเป็นประเทศที่ล้าหลัง ก็คงต้องใช้สิ่งเหล่านี้นี่เองในการดำเนินชีวิตการพึ่งตัวเองเป็นหนทางที่ดี ที่สุด ฉะนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากสิ่งต่างเหล่านี้เป็นพื้น ฐาน
สงคราม กับ การพยากรณ์
หากเราได้ศึกษาประวัติศาสตร์จะพบว่า การทำศึกสงครามแต่ละครั้งนั้น การพยากรณ์ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก การออกรบของพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อน พระมหากษัตริย์จะปรึกษากับท่านปูโลหิตให้นำโหรมาทำนาย เป็นต้นว่า จะออกรบเมื่อไร ชนะหรือไม่ เวลาใด ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่า ใช้โหรนำหน้าการต่อสู้ ทั้งๆที่การชนะหรือแพ้ของการรบมันขึ้นอยู่กับการวางแผนและความสามารถของ เหล่าทหารกล้าทั้งหลายมากกว่าที่จะบอกให้ก้าวเท้าซ้ายก่อนออกจากบ้านจะทำให้ เจ้าโชคดีและได้รับชัยชนะกลับมา
แน่ล่ะว่า การที่เป็นเช่นนี้คงอาจจะเป็นเพราะว่า ไม่มีแหล่งยึดเหนี่ยวและสร้างความเชื่อมันให้กับตัวเอง เมื่อกษัตริย์ให้ความเชื่อมั่นแก่ทหารกล้า แล้วตัวกษัตริย์เองเล่าจะหาความเชื่อมันจากใคร นอกจาก ตามคำแนะนำของโหรผ่านท่านปูโลหิต อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป
หลังจากที่กล่าวข้างต้น การทำนายของโหร ยังก่อให้เกิดคำพูดที่ติดปากอีกว่า “ หมอดูคู่กับหมอเดา ” เหตุใดเล่าจึงเป็นเช่นนั้น หากแม้นว่ากษัตริย์มอบให้โหรทำนายเรื่องต่างๆ การทำนายของโหรนั้นคงไม่สามารถที่จะให้คำปรึกษาในลักษณะแง่ลบได้เพราะหากทำ เช่นนั้นก็อาจจะโดนการลงโทษก็เป็นได้ ดังนั้นการพูดแต่ละครั้งคงไม่ได้ตระหนักถึงอะไรมากนัก ยกเว้นก็คงเป็นหลักจิตวิทยาที่ทำให้กษัตริย์ฮึกเหิมหรือหลีกหนีการทำให้ไม่ พอใจและนำไปลงโทษด้วยการตัดคอก็ได้
สถานการณ์ปัจจุบัน
ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ
ทางการเมือง ณ สถานการณ์ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้หลายคนไม่แน่ใจว่าสังคมจะเป็นไปในทิศ ทางใด การชุมนุมต่างๆทางการเมืองทำให้คนชั้นกลางถึงชนชั้นสูงในสังคมซึ่งต้องอาศัย การเลี้ยงปากท้องด้วยการทำงาน เมื่อเหตุการณ์ไม่ปกติ การงานก็ไม่ปกติด้วย ทำอย่างไรเล่าหากการชุมนุมต่างๆ ทำให้บริษัทต้องลดเงินเดือนพนักงาน ไม่ได้โบนัสตอนสิ้นปี หรือว่าอาจจะโดนเลิกจ้างก็เป็นได้ ดังนั้นหนทางที่จะทำให้พวกเขาเหล่านั้นรู้สึกดีก็คงหาที่พึ่งทางใจและหาวิธี เสริมดวงชะตาต่างๆ
แม้กระทั่งผู้ร่ำรวยและเจริญทางการศึกษาแล้วก็ยังหนีไม่พ้น การที่เงินในกระเป๋าของเขาเหล่านั้นลดลงคงสำคัญมากกว่าการพูดถึงจริยธรรม เราก็อาจจะได้ยินข่าวว่ายองเสียเงินหลายล้านเพื่อที่จะปรับโน้นปรับนี่ ยกตรงนั้นแทนตรงนี้ เพื่อทำให้เขาดีขึ้น
หรือหากว่าเร็วๆนี้ รัฐบาลที่อ้างว่าตัวเองมีความศิวิไลแล้ว เจริญแล้ว ก็ทำการปรับฮวงจุ้ยที่ทำงานของตนเพื่อไล่ความไม่ดีออกไป นี่ก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าคงจะต้องอะไรซักอย่างเพื่อให้หมู่คณะดีขึ้น โดยมองข้ามที่จะปรับปรุงตัวเองและหาสาเหตุที่แท้จริงว่าเป็นอะไร
ดังนั้นสิ่งต่างๆเหล่านี้เองที่ถูกผลิตซ้ำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จนทำให้หลอมรวมกลายเป็น “อัตลักษณ์” ของสังคมไทยไปแล้ว ราวกับว่านี่อยู่ในช่วงสามร้อยปีก่อนคริสตกาลในนครเอเธนอย่างไรอย่างนั้น