โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ
คอลัมน์ ที่เห็นและเป็นไป นสพ.มติชน
พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุด ยิ่งในยุคยุบพรรคกันเป็น "ขนมหวานล้างปากหลังอาหาร" แล้ว "ประชาธิปัตย์" รอดมาได้พรรคเดียว ยิ่งเป็นพรรคที่ว่ากันด้วยอายุแล้วไม่มีพรรคไหนสูงเท่า
ความสูงอายุเป็นภาพของความเชี่ยวชาญ ช่ำชอง
ประชาธิปัตย์ก็เป็นอย่างนั้น
ความเป็นพรรคเก่าแก่ ทำให้มีสมาชิกและผู้นิยมชมชอบกระจายอยู่ในพื้นที่จังหวัดต่างๆ อย่างเหนียวแน่น ภักดีอยู่ไม่น้อย
"ประชาธิปัตย์" น่าจะเป็นพรรคมือวางอันดับหนึ่งของการเมืองไทย
แต่เอาเข้าจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
ยังมีอีกภาพคือ เป็นพรรคเก่าแก่ก็จริง แต่ตั้งแต่ตั้งพรรคมา ชนะการเลือกตั้งน้อยมาก ส่วนใหญ่จะแพ้
การเลือกตั้งแต่ละครั้งมีการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมา แข่งกับประชาธิปัตย์
เหลือเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์ทั้งที่สะสมประสบการณ์ และฐานความนิยมมายาวนานกว่ากลับพ่ายแพ้เสียเป็นส่วนใหญ่
เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
หลังความพ่ายแพ้ต่อพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แบบไม่น่าเชื่อว่าจะแพ้ เพราะประชาธิปัตย์มีความพร้อมทุกด้าน และทุ่มเทเพื่อสู้เต็มที่
ที่ชวนให้ช็อกไปมากกว่านั้นคือ แพ้ขาดกว่า 100 คะแนนกับพรรคการเมืองที่ไม่มีสภาพความพร้อมอย่างเพื่อไทย
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ในฐานะประธาน ส.ส.จึงไปทำการวิจัยว่าทำไม "ประชาธิปัตย์จึงแพ้"
ผลวิจัยออกมาละเอียดยิบ แต่สรุปๆ ก็คือ "พรรคประชาธิปัตย์มีภาพเป็นพรรคของชนชั้นกลางและชั้นสูง ห่างเหินจากคนรากหญ้า"
เมื่อคนระดับล่างมีมากกว่าคนชั้นกลางและคนชั้นสูง พรรคที่เข้าถึงกว่าก็ต้องชนะ
ซึ่งว่าไปข้อมูลนี้ไม่ใช่ข้อมูลใหม่สักเท่าไร
ก่อนหน้านั้น ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เขียนหนังสือเรื่อง "การเมืองสองนครา" สรุปว่า "คนชนบทเลือกตั้งบาง แต่คนเมืองล้มรัฐบาล"
ซึ่งเป็นทฤษฎีที่นักรัฐบาลและนักการเมืองยอมรับ
เพราะพิสูจน์ได้จากประวัติศาสตร์การเมืองไทย
พรรคที่ได้รับเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากส่วนใหญ่เป็นพรรคใหม่ที่ตั้งขึ้น มาสู้กับประชาธิปัตย์ แต่ตั้งรัฐบาลได้ไม่นานก็ถูกล้ม ด้วยรัฐประหาร
พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ถูกเลือกเข้ามามีบทบาทในช่วงวิกฤตการเมือง
กลายเป็นภาพมีอำนาจเพราะ "พรรคทหารเลือก" ไม่ใช่ "ประชาชนเลือก"
เป็นพรรคที่เป็นรัฐบาลหลังการปฏิวัติ
อาจจะเป็นเหราะเหตุนี้ ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม บทบาทของนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นไปในทางสร้างเงื่อนไขให้เกิดการ ปฏิวัติ มีความสามารถสูงยิ่งที่จะทำให้เห็นว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เป็นพวกที่สกปรกโสมม เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่สมควรจะให้บริหารประเทศ
การเมืองที่มาตามกรอบของระบอบประชาธิปไตยจึงมีแต่ความเลวทรามต่ำช้าตลอดมา
และพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งสร้างภาพให้เป็นนักการเมืองสะอาดบริสุทธิ์ จะเป็นพระเอกขี่มาขาวมาขจัดกวาดล้างความโสมมนั้น
นั่นเป็นยุทธศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จในวันเก่าของพรรคประชาธิปัตย์
เพียงแต่วันนี้ยังจะเป็นอย่างนั้นได้หรือ
การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ได้สะท้อนให้เห็นว่าสำนึกของประชาชนในเรื่องประชาธิปไตยไปไกลแล้ว
ไกลกว่าที่นักการเมืองจะเข้าใจเสียด้วยซ้ำ
การเป็นพรรคที่รอ หรือพยายามผลักให้คู่ต่อสู้พลาดพลั้งลื่นล้ม ยังเป็นพรรคที่ประสบความสำเร็จได้อยู่หรือ
ไม่จำเป็นหรือจะต้องฮึดขึ้นมาเพื่อเป็นพรรคที่สร้างชัยชนะด้วยตัวเองให้ได้ ไม่ใช่หวังแต่พึ่งพาอำนาจนอกระบบมาอำนวยวาสนาให้
งานวิจัยของ "คุณหญิงกัลยา" เหมือนพยายามจะบอกอย่างนั้น
เช่นเดียวกับสมาชิกพรรคอีกหลายคนยกตัวเองเช่น นายถาวร เสนเนียม ก็พยายามบอกว่าให้เอาผลวิจัยนี้มาปรับตัว
แต่ดูเหมือนว่าสมาชิกได้แค่พยายาม
หลัง "หัวหน้าพรรคอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ประกาศในงานสัมมนาพรรคที่พิษณุโลก ว่า "ผลงานวิจัยของคุณหญิงกัลยาถือเป็นความเห็นของคนที่ไม่เลือกเราเท่านั้น อย่าให้ผมพูดเลย กลัวจะถูกฟ้องหมิ่นประมาท"
ทุกอย่างก็จบ สมาชิกคนอื่นต้องยอมรับสภาพ "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามก็อยู่ที่นั่น" เดินไม่ถึงความสำเร็จสักที
ความสำเร็จที่จะให้ "หัวหน้าพรรค" มองเห็นว่า "ความเห็นของคนที่ไม่เลือกเรา" ที่ไม่ให้ราคาคุณค่านั้น
เป็น "ความเห็นที่ทำให้คู่แข่งชนะการเลือกตั้งครั้งแล้วครั้งเล่า"