ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Tuesday, 6 September 2011

ผู้หญิงยิงฮ.สู้ต่อไม่สู้ก็ตาย-ตายก็ไม่กลัว เพื่อนร่วมชะตาก้าวขาไม่พ้นคุกโดนยัดคดีใหม่ต่อหน้าลูกเมีย

ที่มา Thai E-News

ยิ้มแห่งอิสรภาพ-"เจ๊ จ๋า"คดีผู้หญิงยิงฮ.กับช็อตแรกสู่อิสรภาพถ่ายรูปคู่กับทนายอานนท์ นำภา (ภาพบน) และ"ผู้พันสู้"น.ต.ชนินทร์ คล้ายคลึง (ภาพล่าง) ที่ไปรอต้อนรับออกจากเรือนจำ เมื่อค่ำวันจันทร์ที่ 5 ก.ย. ปรากฎในเฟสบุ๊คของผู้พันสู้ ทั้งนี้ผู้หญิงยิงฮ.กับผู้ร่วมชะตากรรมอีก2รายถูกจับติดคุกมาตั้งแต่ 3 พฤษภาคม 2553 หรือถูกขัง 1 ปี 4 เดือน ศาลยกฟ้องเมื่อ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา แต่ถูกขังต่อมาอีก 2 สัปดาห์ เพิ่งให้ประกันและก้าวสู่อิสรภาพในค่ำวานนี้ ทว่าเพื่อนร่วมชะตารายหนึ่งก้าวขายังไม่พ้นคุกโดนยัดคดีใหม่ทันควัน(ภาพเป็นข่าว)

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
6 กันยายน 2554

ทนายอานนท์ นำภา ซึ่งไปต้อนรับผู้หญิงยิงฮ.สู่อิสรภาพเมื่อค่ำวานนี้เขียนลงเฟสบุ๊คว่า
"เราเสื้อแดงต้องสู้ต่อไป เพราะถ้าถอยคือความตาย..."บางถ้อยจากคนจริง จ๋า... เธอถูกกล่าวหาว่ายิง ฮ.

ส่วนผู้พันสู้บันทึกลงเฟสบุ๊คของเขาว่า

เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้้ถ่ายรูปคู่กับหญิงสาว ที่เรียกว่า ผู้หญิง ยิง ฮอ. ไม่ใช่ผู้หญิงยิงเรืออีกต่อไป 555 พี่จ๋าผู้ถูกกล่าวหาว่ายิงเฮเลิคอปเตอร์ด้วยบั้งไฟ. กูอยากจะขำให้ฟันร่วง ทีแม่งตก3 ลำซ้อนเสือกหาข้อมูลไม่ได้ว่าล้ำแดนได้อย่างไร อย่าตอแหลมาก. ทหาร. เทคโนโลยีไปไกลจนรู้ว่า ใครอยู่ตรงไหนแล้ว และจงรู้ไว้ว่า พวกเราจะขุดคุ้ยความชั่วของตัวเหี้ยต่อไป

ส่วนป๋าจอมตั๊บฯบันทึกถึงการไปต้อนรับผู้หญิงยิงฮ.ซึ่งวเป็นข่าวดี ปิดท้ายด้วยข่าวสะเทือนใจเมื่อ 1ในผู้ร่วมชะตากรรมเหมือนโดนแกล้ง พ้นคุกคดีนี้โดนรวบไปขังอีกคดีใหม่ ท่ามกลางสายตาลูกเมียที่สุดแสนจะร้าวรานใจ
รับ ตัวพี่จ๋า-นฤมล วรุณรุ่งโรจน์ เหยื่อที่ถูกภาครัฐภายใต้อำนาจศอฉ.ใส่ข้อหา "ผู้หญฺงยิงฮ." มานั่งทานอาหารมื้อแรกนอกเรือนจำ ในรอบ 1 ปี 4 เดือน 2 วัน ที่ต้องถูกจองจำโดยที่ไม่มีความผิดใดๆ

แต่ออกจากคุกแล้ว วันรุ่งขึ้นพี่จ๋าต้องขึ้นศาลอาญารัชดาอีกรอบ คดีใ้ไม้คมแฝกตีหัวทหารที่มาสลายการชุมนุมครับ

พี่จ๋าเล่าว่า พี่แค้นมากนะไอ้พวกทหารที่มาสลายเรา มาป้วนเปี้ยนหน้าบ้าน มาจับพี่ เคยปฏิญาณไว้ว่า วันนึงต้องเอาคืนพวกมันให้ได้ และถ้าพี่กัดใครพี่จะกัดไม่ปล่อยจริงๆ ถามว่ากลัวตายมั๊ย มันเลยจุดนั้นมาไกลแล้ว เลิกกลัวไปแล้ว จะไปกลัวทำไม

เรามาสู้เพื่อความเป็นธรรม เพื่อลูกหลานรุ่นต่อไป เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองเหมือนกัน อย่าไปกลัว ถ้ากลัวก็เท่ากับเราเดินถอยหลัง

ตัวพี่วันนี้ถ้าหากถอยหลังไปมันคือความตายอยู่ดี คงเลือกเดินหน้าไปชนกับมันต่อ อย่างน้อยเราก็มีโอกาสรอดมากกว่าการถอยหลัง/จ๋า นฤมล วรุณรุ่งโรจน์("ผู้หญิงยิงฮ.")
(ภาพและคำบรรยาย:ป๋าจอมตั๊บฯ)

ดูมันทำ!เพื่อนร่วมชะตาผู้หญิงยิงฮ.พ้นคุกแล้วโดนรวบไปเข้าคุกอีกคดี

นายชาตรี ศรีจินดา 1 ใน 3 ผู้ต้องหาคดีหญิงยิงฮ.ได้รับการประกันตัวเมื่อวันที่ 5 ก.ย.54 หลังถูกจองจำกว่า 1 ปี
แต่ยังไม่ทันได้รับการปล่อยตัวไปไหน กลับมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสน.ประชาชื่นมาควบคุมตัวไปดำเนินคดีอีกคดีหนึ่ง
ท่ามกลางความเศร้าเสียใจของลูกเมียญาติพี่น้องที่มารอรับ
สภาพ ของคุณแม่และลูกสาวของพี่หนู ชาตรี ศรีจินดา หนึ่งในเหยื่อที่ถูกศอฉ.ยัดคดีอาวุธสงคราม หลังจากได้รับทราบว่าพี่หนูต้องถูกอายัติตัวต่อไปอีกในคุกของโรงพัก สน.ประชาชื่น และนำส่งสน.แสมดำในวันอังคารที่ 6 จากคดีเก่าก่อนจะมาเป็นเสื้อแดงที่ถูกรื้อเอามาใช้อายัดตัวพี่หนูกลับเข้า คุก หลังจากได้ประกันตัวออกมาในคดี"ก่อการร้าย ยิงเฮลิคอปเตอร์"หลังศาลยกฟ้องไปแล้วกว่า 1 สัปดาห์ และติดคุกฟรีมาแล้วกว่า 1 ปี 4 เดือน

*********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:






เปิดปูมคดีผู้หญิงยิงฮ.คดีพิสดารตั้งแต่ต้นจบจบ

-โลกไม่ลืม ผู้หญิงยิงฮ.

-รายงาน: เปิดปม ก่อนพิพากษาคดี “ผู้หญิง ยิง ฮ. (10 เมษา)"

สำหรับ ‘จ๋า’ เป็นหญิงห้าวแห่งสนามหลวง เธอออกมาประท้วงรัฐประหารตั้งแต่ปี 2549 โดยรวมกลุ่มกับ ‘กุล่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ’

เพราะเธอชื่นชอบนโยบายของพรรคไทยรักไทย และเกลียดชังการรัฐประหาร อาชีพเดิมเคยเป็นแม่ค้าขายผัก มีนิสัยตรงไปตรงมา โผงผาง ใจดี แต่ค่อนข้างปากร้าย เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มบอกกล่าว จากนั้นแม้กลุ่มจะสลายหายไปแล้ว แต่จ๋ายังคงวนเวียนอยู่กับการชุมนุมโดยตลอด อาศัยรายได้จากการขายสมุนไพร และทำแชมพูสำหรับสุนัข เนื่องจากเธอเป็นคนรักสุนักเหมือนลูกแท้ๆ เธออยู่กับลูกๆ 7 ตัวเพียงลำพัง สามีของเธอที่เป็นนายตำรวจเสียชีวิตไปในปี 2535

จ๋าเล่าขณะติดคุกอยู่ทัณฑสถานหญิงกลางว่า รู้จักกับสุรชัย จำเลยที่ 1 จากการชุมนุมเมื่อปี 2552 เพราะเป็นแท็กซี่เสื้อแดง จากนั้นจึงว่าจ้างมารับส่งในการชุมนุมมาโดยตลอด จนเป็นเพื่อนสนิทกัน ขณะที่รู้จักกับจำเลยที่ 3 หรือชาตรีในการชุมนุมปี 52 เช่นกัน ขณะเขากำลังขายเสื้อผ้าหมาและเธอเดินซือเสื้อผ้าหมา ทั้งหมดมาเจอกันอีกที่การชุมนุมปีถัดมา

ในวันที่โดนจับ คืนนั้นกว่าจะกลับมาถึงบ้านของจ๋าก็ตีสี่ครึ่ง สุรชัยและชาตรีจึงงีบหลับที่บ้านจ๋าก่อนกลับบ้านในตอนเช้า

จากนั้นเวลาประมาณ 9.00 น. เจ้าหน้าที่ทหารประมาณ 30 คน อาวุธครบมือได้บุกเข้ามาในบ้าน และจับกุมทั้งสามคน นำตัวขึ้นรถแยกคนละคัน ทั้งสามให้การตรงกันว่า เมื่อคุมตัวสักพักก็ขับรถวนไปวนมาพักใหญ่ก่อนกลับมาที่บ้านพักที่จับกุม

สุชัย บอกว่า ขณะอยู่บนรถก่อนจะถึงที่บ้านพักของจ๋า เจ้าหน้าที่ก็ถามเขาว่า อาวุธอยู่ที่ไหน เขาตอบว่าไม่รู้ เจ้าหน้าที่เอามือทุบหน้าอกของเขา และถามเขาอีกครั้งว่า อาวุธอยู่ที่ไหน เขาก็ตอบว่าไม่รู้ เจ้าหน้าที่ถามพร้อมกับทุบที่หน้าอกของเขาสลับไปมาประมาณ 20 ครั้ง

เมื่อรถวิ่งมาถึงบ้านที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาไปที่ห้องนอน ตอนที่จะเดินไปในห้องนอน ก็ปรากฎว่ามีอาวุธกองอยู่ในบ้านจำนวนเยอะมาก มีปืนอาก้า ระเบิด กระสุนเป็นถุง ๆ

เจ้าหน้าที่ถามเขาอีกครั้งว่า อาวุธ อยู่ไหน เขาก็ตอบอีกครั้งว่า เขาไม่รู้ หลังจากนั้น เขาก็โดนเจ้าหน้าที่เตะเข้าที่ลำตัว จนเขาล้มทั้งยืน และเขาถูกกุญแจมือไขว่หลัง พอเขาล้มลงก็กระทืบเขาทั้งหน้าและหลังหลายครั้ง

หลังจากนั้นก็พาเขาออกมาจากห้อง แล้วก็ใส่กุญแจมือให้เขาใหม่ โดยเอากุญแจมือใส่ที่ด้านหน้า และจากนั้นก็ให้เขาถือกระป๋องแก๊สน้ำตา แล้วถ่ายรูปเขา ก่อนจะให้ชี้ไปที่กองอาวุธและถ่ายรูปเขาไว้อีกครั้ง

เขาเล่าว่าตลอดเวลานั้น เขาไม่มีโอกาสคิดอะไรทั้งสิ้น ไม่มีโอกาสถามว่าทำไมมาจับเขาและตรวจค้นเขา เขาไม่ทราบด้วยว่าเจ้าหน้าที่ มีหมายจับและหมายค้นหรือไม่ แต่ไม่เห็นเจ้าหน้าที่แสดงหมายใดๆ และเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้บอกว่า เขาสามารถติดต่อเพื่อน ญาติ หรือทนายได้ แต่ถึงให้ติดต่อ เขาไม่อยากติดต่อเพราะกลัวว่าญาติพี่น้องจะเดือดร้อน

ยิ่งไปกว่านั้น สุรชัยยังระบุว่าเขาทั้งสามถูกนำตัวไปยัง กองพันทหารราบที่ 11 ในช่วงเย็น โดยถูกแยกขังคนละแห่งเพื่อทำการสอบสวน ห้องที่เขาถูกนำไปสอบสวนเหมือนเป็นโกดังเก็บถังน้ำมัน มีถังน้ำมัน 200 ลิตร ตั้งเรียงรายอยู่ ประมาณ 20 ถัง กลิ่นน้ำมันคลุ้งไปหมด มีเจ้าหน้าที่สอบสวนนั่งในห้องเขาประมาณ 3-4 คน มีคนถาม 1 คน และมีคนจดบันทึก 2 คน เจ้าหน้าที่ในราบ 11 ถามเขาว่า อาวุธอยู่ที่ไหน และข่มขู่ว่าหากเขาไม่ยอมรับจะจับเขาไปใส่ถังน้ำมัน 200 ลิตร เอาผ้าปิดปาก แล้วเอาน้ำมันราดเมื่อเขาโดนขู่เขาจึงตอบคำถามทั้งหมดเรื่องไหนไม่รู้ก็ พยายามตอบๆ ไป เพื่อจะไม่ถูกทำร้าย แต่บางเรื่องเขาก็ตอบตามจริง เช่นการปลอมทะเบียนรถ เนื่องจากตอนที่ชุมนุมนั้นมีข่าวว่า มีคนจดทะเบียนรถยนต์คนเสื้อแดงแล้วจะไปตามทำร้ายจึงทำให้เขาต้องปลอมทะเบียน รถยนต์เพื่อความปลอดภัย จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงให้มีการเซ็นเอกสารต่างๆ ซึ่งเขาไม่มีโอกาสได้อ่าน แล้วค่อยนำตัวไปให้ดีเอสไอในตอนกลางคืน

ขณะที่ผู้ใช้นามแฝงในโลกอินเตอร์เน็ตว่า “ป้านินจา” อดีตสมาชิกกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ตั้งข้อสังเกตว่า จากการสอบถามกับจ๋าในเรือนจำ พบว่าเจ้าหน้าที่ทหารเอาปืนขู่ชาวบ้านที่ออกมาดูเหตุการณ์ให้กลับเข้าบ้านจน หมด จึงไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นบ้าง มีการเอาตัวจำเลยทั้งหมดออกจากบ้านไป แล้วจากนั้นจึงนำกลับมาพร้อมกับบอกว่าพบอาวุธปืนและกระสุนปืนจำนวนมากใส่ไว้ ในถุงกอล์ฟซ่อนอยู่ในท่อระบายน้ำที่นอกตัวบ้าน ซึ่งในความเป็นจริงท่อระบายน้ำดังกล่าวกว้างเพียง 14 เซ็นติเมตร ไม่มีทางจะนำถุงกอล์ฟยัดลงไปได้

“เท่าที่มีการสืบพยาน ลายนิ้วมือแฝงบนอาวุธก็ไม่มีเลย พยานคนเดียวที่บอกว่าเห็นก็เบิกความว่าพี่จ๋าผมยาวประบ่า ทั้งที่จริงๆ แกตัดผมสั้นตลอด”

“คดีนี้ไม่มีใครช่วยเลย วอล์กอินไปที่ไหนเขาก็กระโดดหนีหมด เพราะกลัวจะถูกโยงมาเกี่ยวพัน คดีมันหนัก โทษหนัก แต่ที่สุดก็มีทนายพรรคมาช่วย แล้วก็ได้ทนายอาวุโสอีกคนที่เขาอาสามาช่วยในช่วงหลังเพราะสงสาร ญาติๆ เขาก็รวมเงินให้ทนายไปไม่กี่พันบาท” ป้านินจากล่าว

"ถ้าพี่จ๋าไม่โดนจับเสียก่อน แล้วอยู่รอดจนเขาสลายการชุมนุม ต้องโดนยิงตายแน่ๆ เพราะแกต้องวิ่งไปอยู่ด่านหน้าอย่างแน่นอน" ป้านินจากล่าว