การ พูดแบบนี้ของแกนนำ เป็นการเสนอมุมมองว่าเสื้อแดงเป็นแค่ “กองเชียร์” หรือ “ลูกน้อง” ของรัฐบาล แทนที่เสื้อแดงจะเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อความยุติธรรม และประชาธิปไตย
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
ในงาน "คอนเสิร์ตต้อนรับวันอิสรภาพ ลมหายใจที่ไม่แพ้" ของเสื้อแดงเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2554 ที่ชั้น 6 ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว แกนนำหลายคนได้แสดงจุดยืนเกี่ยวกับรัฐบาลใหม่ ซึ่งเราจะต้องนำมาวิเคราะห์
(ดูคลิปวิดีโอได้ที่ http://thaienews.blogspot.com/ )
บก.ลายจุด สมบัติ บุญงามอนงค์ เสนอว่า “เสื้อแดงเป็นกองหลัง เพื่อไทยเป็นกองหน้า”
บอกว่าเสื้อแดงกับเพื่อไทยต้องเกาะกันสนิท และเชื่อว่าคนของเราที่คุมอำนาจอยู่ ท้ายสุดสมบัติมีความหวังว่านายกฯยิ่งลักษณ์จะนำคนที่สั่งฆ่าประชาชนมาขึ้น ศาลประชาชน
ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ บอกว่าจะเดินหน้าหาทางประกันคนเสื้อแดงทั่วประเทศ 40 คนที่ยังถูกขังอยู่ ณัฐวุฒิเสนออีกว่าต้องปรับวิธีทำงานของคนเสื้อแดง เน้นการขยายมวลชน บอกให้คนเสื้อแดงใจเย็นไปก่อน รอให้แกนนำนปช.กำหนดแนวทาง และมองว่าเราต้องปกป้อง “รัฐบาลของประชาชน”
จตุพร พรหมพันธ์ บอกว่าคนเสื้อแดงต้องปกป้องรัฐบาลเพื่อไทยจากรัฐ ประหาร อย่างที่เคยเกิดกับรัฐบาลไทยรักไทยและพลังประชาชน จตุพรบอกด้วยว่าฆาตกรที่สั่งฆ่าประชาชนยังมีตำแหน่งและลอยนวล เราไม่ควรลืม
แกนนำเหล่านี้เป็นคนที่กล้าหาญเสียสละและต่อสู้มานาน แต่ตอนนี้เขามีแนวโน้มที่จะไว้ใจรัฐบาลเพื่อไทยมากเกินไปว่าจะแก้ไขวิกฤตการเมือง เช่นเรื่องการนำคนสั่งฆ่าประชาชนมาขึ้นศาล
โดยไม่มีการวิเคราะห์เลยว่าเพื่อไทยพร้อมจะปรองดองยอมจำนนต่อทหารแค่ไหน ไม่เตรียมมวลชนสำหรับการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมเลย
ซึ่งเราอาจต้องสู้เพื่อกดดันรัฐบาล หรืออาจต้องถึงกับคัดค้านรัฐบาลในบางเรื่องด้วย
แกนนำเหล่านี้มองว่าเสื้อแดงต้องไว้ใจรัฐบาลให้โอกาสรัฐบาล และใจเย็นรอเป็นปีๆ เพื่อให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ
การพูดแบบนี้เป็นการเสนอมุมมองว่าเสื้อแดงเป็นแค่ “กองเชียร์” หรือ “ลูกน้อง” ของรัฐบาล แทนที่เสื้อแดงจะเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อความยุติธรรมและ ประชาธิปไตย
การเสนอว่าเสื้อแดงควรใช้เวลาตอนนี้ในการขยายเครือข่ายมวลชน เป็นเรื่องดี แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือไม่ระบุว่าการขยายมวลชนเสื้อแดง ควรเน้นไปที่ไหน
ไม่พูดถึงความสำคัญของขบวนการแรงงาน พูดแค่ว่าเราควรหามิตรให้มากที่สุด
ซึ่งอาจหมายความว่าต้องไปจับมือกับเสื้อเหลืองหรือเปล่า?
ยิ่งกว่านั้นการเสนอให้ขยายเครือข่ายมวลชน โดยไม่ขยายผลงานในรูปธรรมของเสื้อแดงพร้อมๆ กัน เช่นเรื่องการเคลื่อนไหวให้ยกเลิก 112 การเลิกคดีคนเสื้อแดง การปลดผบทบ. หรือการแจ้งความ อภิสิทธิ์ สุเทพ อนุพงษ์ ประยุทธ์ ในคดีฆ่าประชาชน จะทำให้ขยายมวลชนอยากมาก เพราะเราจะต้องมีผลงานรูปธรรมไปเสนอกับคนที่ยังไม่เป็นเสื้อแดงเพื่อให้เขา มาเป็นพวก
บางคนอาจบอกว่าถ้าเรารุกสู้แบบนั้น เราจะดึงเสื้อเหลืองมาเป็นมิตรไม่ได้ ถ้าคิดอย่างนั้นก็เท่ากับคิดยอมจำนนกับอำมาตย์ เพื่อนำเสื้อเหลืองมาเป็นมิตร ความคิดแบบนี้จะนำเราไปสู่ความพ่ายแพ้
แกนนำเสื้อแดงพูดถูกเวลาบอกว่าเราต้องปกป้องรัฐบาลจากรัฐประหาร แต่ถ้าเราเน้นบทบาทของเสื้อแดงไว้แค่นี้ และปลุกให้คนกลัวรัฐประหารมากเกินไป จะทำให้เรามองข้ามความเป็นไปได้ว่ารัฐบาลเพื่อไทยทำข้อตกลงกับทหารอยู่แล้ว เพื่อไม่ให้มีการทำรัฐประหาร
เช่นการสัญญาว่าจะไม่ปลดประยุทธ์ ไม่แก้ไขปัญหา 112 หรือไม่นำคนสั่งฆ่าประชาชนมาขึ้นศาล ถ้าเราไม่ระวังการพูดแต่เรื่องรัฐประหารจะกลายเป็นข้ออ้างในการเสนอว่า เสื้อแดงควรใจเย็นไม่เคลื่อนไหวเพื่อทวงความยุติธรรมต่างๆ เลย
แกนนำเสื้อแดงเหล่านี้พูดในทำนองว่ารัฐบาลเพื่อไทยไม่มีหนี้บุญคุณกับเสื้อแดงเลย ไม่ พูดในลักษณะต่อรองว่าเสื้อแดงจะสนับสนุนรัฐบาล ต่อเมื่อรัฐบาลตอบสนองความต้องการของเราในเรื่องความยุติธรรม การสนับสนุนรัฐบาลต้องมีเงื่อนไขเสมอ
ในเรื่องคดี 112 หรือกฏหมายเผด็จการ 112 ไม่มีการพูดอะไรเลย ทั้งๆ ที่รัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยสองคนประกาศว่าจะใช้ 112 ในลักษณะเข้มงวดมากขึ้น ถ้าเลือกที่จะมองข้ามปัญหานี้ ก็เท่ากับเลือกที่จะมองข้ามอำนาจนอกระบบของอำมาตย์
เวลาแกนนำอย่างสมบัติและจตุพรพูดว่า “คนเสื้อแดงเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยและเป็นเจ้าของรัฐบาล” เราต้องถามว่าจริงแค่ไหน? หรือ ว่าในความเป็นจริงทหารและแนวร่วมอำมาตย์ เพียงแต่ยอมให้เราลงคะแนนเสียงเลือกรัฐบาลเท่านั้น ในขณะที่เขาถืออำนาจดิบอยู่ในมือ เพื่อบังคับไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงแท้จริงในสังคมไทย
คนเสื้อแดงไม่ควรรอโดยไม่ทำอะไร เราควรตั้งวงถกเถียงแลกเปลี่ยนเรื่องแนวทางการต่อสู้
เราควรจะมีตารางเวลาในการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เราระบุต่อสังคมให้ชัดเจนและเรียกร้องต่อรัฐบาล เราต้องพูดถึง 112 และอำนาจทหารด้วย
และเราควรจะนำข้อสรุปต่างๆ ของเราไปยื่นให้กับแกนนำ นปช. เพื่อให้ขบวนการเสื้อแดงมีความเป็นประชาธิปไตย
คนเสื้อแดงระดับรากหญ้าควรจะเป็นเจ้าของนโยบาย นปช. ไม่ใช่นั่งรอให้แกนนำสั่งการลงมาอย่างเดียว และอย่าลืมว่าถ้าเรายิ่งนั่งรอนานเท่าใด ขบวนการของเราจะอ่อนแอลงมากขึ้นเท่านั้น
เรายิ่งหลงไว้ใจรัฐบาลมากเท่าใด เราจะยิ่งผิดหวังเท่านั้น