โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน
อย่าว่าแต่ญาติพี่น้องคนตายเลย ขนาดเอกอัครราชทูตอิตาลีและเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ยังเข้าสอบถาม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯด้านความมั่นคง ถึงความคืบหน้าเหตุการณ์ 91 ศพ เมื่อปี 2553 ว่าในฐานะรัฐบาลใหม่จะดำเนินการกับคดีนี้เช่นไร
ไม่เพียงคนไทยเราเองเท่านั้น คนทั่วโลกเขาก็ไม่ลืม
กรณี อิตาลีนั้นแน่นอนว่า เขาต้องทวงถาม เพราะนายฟาบิโอ โปเลงกี้ ช่างภาพอิสระชาวอิตาลี คือหนึ่งในผู้เสียชีวิตจากการถูกยิงเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553
ส่วนอังกฤษนั้น คงเพราะในสายตาของประเทศประชาธิปไตย ถือเป็นเหตุการณ์ใช้อำนาจรัฐที่ร้ายแรงมาก
แล้วที่เตรียมรับไว้ได้เลยคือ ตัวแทนของรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งจะต้องติดตามทวงถาม หาตัวคนฆ่า นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพของสำนักข่าวรอยเตอร์ เหยื่อกระสุนสไนเปอร์ที่แยกคอกวัว เมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน 2553
เพราะก่อนหน้านี้ตัวแทนของรัฐบาลและสถานทูตญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ตามจี้คดีนี้หลายต่อหลายหน
ขนาดรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศ ยังเคยบินมายืนไว้อาลัยที่แยกคอกวัวด้วยตัวเองมาแล้ว
แต่รัฐบาลไทยในช่วงก่อนหน้านี้ คือยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่เคยตอบคำถามเขาได้
และยังเป็นรัฐบาลในช่วงเกิดเหตุด้วย
ตอบไม่ได้และไม่เคยแสดงความรับผิดชอบ
สิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์อ้างอย่างเดียวมาโดยตลอดก็คือ นักรบชุดดำ
ถ้านับจากวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 อันเป็นวันสุดท้ายของการนองเลือด จากนั้นรัฐบาลอภิสิทธิ์ยังมีอำนาจอยู่อีก 1 ปีเต็มๆ
หากนักรบชุดดำที่รัฐบาลอ้างอิงนั้นมีจริง
คงต้องใช้สรรพกำลังทั้งหมด ใช้อำนาจทุกชนิด ทั้งตำรวจ ทหาร ดีเอสไอ สมช. สขช. แม้แต่กองกำลังเทศกิจของ กทม.ก็อาจต้องเอาออกมาใช้
ต้องพลิกแผ่นดินตามหาตัวนักรบชุดดำมาได้แล้ว
เพราะนักรบชุดดำนั้น หากมีจริง ถือเป็นตัวการสร้างเรื่องใส่ร้ายรัฐบาลอย่างรุนแรงที่สุด
มีแต่ต้องเอาตัวมาให้ได้ เอามายืนยันให้ได้ว่ารัฐบาลไม่เคยทำให้ประชาชนตาย
แต่นี่มีแต่การอ้างลอยๆ เราไม่เคยเห็นการทุ่มเทของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในการไล่ล่านักรบชุดดำมาเลย
มองอย่างนี้แล้วใครจะยังเชื่อว่ามีนักรบชุดดำอยู่อีกหรือ
ท่าทีของตัวแทนรัฐบาลหลายๆ ชาติ ที่เขาเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วทั่วโลก ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ไม่มีใครเชื่อ
ต่อไปนี้จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย รวมทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯด้านความมั่นคง ซึ่งทูต 2 ชาติยังเข้าไปหา ด้วยหวังว่าจะสืบสวนคลี่คลายคดีนี้ให้ได้เสียที
มีสำนวนไทยโบราณที่ว่า "ไล่จับเงาตัวเอง" เปรียบเหมือนทำเรื่องที่ไม่มีทางสำเร็จ ไม่มีทางเป็นไปได้
แต่บังเอิญรัฐบาลเพื่อไทย มีฝ่ายค้านประกาศตัวเป็นรัฐบาลเงา ตั้ง ครม.เงา มีตำแหน่งแห่งหนเป็นเรื่องเป็นราว
หรือว่าอีกไม่นาน เราจะได้เห็นรัฐบาลเพื่อไทยไล่จับบางคนที่เป็นเงา
เงาที่มีมือเปื้อนเลือด
อาจเป็นการ "ไล่จับเงา" ที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกก็ได้