"ในสังคมปัจจุบันคนที่ต่อสู้เพื่อ เสรีภาพ เพื่อความเสมอภาค และความเป็นธรรมด้านต่างๆ ทางสังคมต่างหาก  คือผู้ที่ทำ “ความดี”  ตามความหมายที่เข้ากันได้กับหลักการพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม"
  เวลาเราพูดถึง “ความดี” และ “สิ่งที่ดี” นั้น เรากำลังพูดถึง  “คุณค่า” (value) บางอย่าง คุณค่าหมายถึงสิ่งที่พึงปรารถนา ต่างจาก  “ข้อเท็จจริง” (fact)  ในความหมายว่าข้อเท็จจริงนั้นเราพิสูจน์ทราบได้ด้วยประสาทสัมผัส  ขณะที่คุณค่าเราต้องพิสูจน์ด้วยความรู้สึกหรือเหตุผล
 เช่น เมื่อเราพูดว่า “ดอกกุหลาบช่อนี้สีแดง”  เรากำลังพูดถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดอกกุหลาบ  เราพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำพูดนี้ด้วยประสาทสัมผัสคือใช้ตาดูว่าดอกกุหลาบ ช่อนี้สีแดงจริงหรือไม่ โดยปกติทุกคนก็จะมองเห็นตรงกัน (ยกเว้นคนตาบอดสี)  แต่ถ้าเราบอกว่า “ดอกกุหลาบช่อนี้สวย” เรากำลังพูดถึงคุณค่าของดอกกุหลาบ  เราจะรู้ว่าดอกกุหลาบช่อนี้สวยหรือไม่จากการใช้ความรู้สึก  ซึ่งแต่ละคนอาจรู้สึกแตกต่างกัน และเมื่อเราพูดว่า  กฎหมายฉบับนี้ประกาศใช้เมื่อปี 2550  เรากำลังพูดถึงข้อเท็จจริงของกฎหมายที่ทุกคนตรวจสอบแล้วเห็นตรงกันได้  แต่เมื่อเราบอกว่ากฎหมายฉบับนี้ยุติธรรม  การยืนยันว่ากฎหมายยุติธรรมหรือไม่ต้องใช้เหตุผล
 เช่นเดียวกัน เมื่อเราพูดถึงความดี และสิ่งที่ดี  เราก็ใช้ความรู้สึกและเหตุผลในการยืนยัน  เมื่อเรามองความหมายของความดีและสิ่งที่ดีในพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม  เราสามารถเข้าใจความหมายของสิ่งดังกล่าวได้จากการวิเคราะห์ “ธรรม”  ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือ “อริยสัจ 4”
 ในอริยสัจ 4 นั้น สองข้อแรกพูดถึง “ข้อเท็จจริง” คือ  ทุกข์กับสาเหตุให้เกิดทุกข์ สองข้อหลังพูดถึง “คุณค่า” คือ ความดี (มรรค)  และสิ่งที่ดี (นิโรธ) ความสัมพันธ์ระหว่างความดีกับสิ่งที่ดีก็คือ  เราทำความดีเพื่อให้เกิดหรือบรรลุถึงสิ่งที่ดี  หรือความดีเป็นมรรคไปสู่สิ่งที่ดี
 ถามว่าทำไม  พุทธศาสนาแบบดั้งเดิมจึงถือว่ามรรคและนิโรธเป็นคุณค่าที่พึงประสงค์  เหตุผลก็เพราะพุทธศาสนามองว่าความทุกข์และสาเหตุให้เกิดทุกข์  นอกจากจะเป็นข้อเท็จจริงในชีวิตมนุษย์ที่เราต่างรับรู้กันอย่างเป็นปกติอยู่ แล้ว  พุทธศาสนายังมองว่าทุกข์และสาเหตุให้เกิดทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์  ซึ่งความทุกข์นั้นพุทธศาสนาถือว่าเป็นสิ่งที่เราต้องทำความเจ้าใจอย่างชัด แจ้ง ขณะที่สาเหตุของทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องละ แก้ไข  หรือขจัดให้หมดไปด้วยการปฏิบัติตามมรรคหรือการดำเนินชีวิตบนหลักการพื้นฐาน 3  ด้าน คือ ศีลธรรม จิตใจ และปัญญา
 หลักการพื้นฐานทางศีลธรรมนั้น หมายถึงหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ  ไม่เบียดเบียนกัน หลักการพื้นฐานทางจิตใจหมายถึงการใช้ชีวิตอย่างมีสติ  มีความมั่นคงทางจิตใจ และมีคุณธรรม  ส่วนหลักการทางปัญญาหมายถึงการมีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงตามกฎ ธรรมชาติ ความจริงของโลกและชีวิต เห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม (สัมมาทิฐิ)  และคิดตระหนักในทางมีเมตตากรุณา ไม่พยาบาทเบียดเบียน  และมุ่งอิสรภาพจากพันธนาการทั้งปวง (สัมมาสังกัปปะ)
 “ความดี” ในนิยามของพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมนั้นอยู่บนหลักการพื้นฐาน 3 อย่างดังกล่าวนี้
 คำถามคือ การกระทำความดีดังกล่าวนี้เพื่อเป้าหมายอะไร?  คำตอบคือเพื่อนิโรธหรือความดับทุกข์ บางทีพุทธศาสนาใช้คำว่า “วิมุติ”  แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า freedom  หมายถึงเสรีภาพหรือความเป็นอิสระจากกิเลสแหะความทุกข์ทั้งปวง  มีพุทธพจน์ยืนยันว่า “วิมุติคือแก่นของพุทธธรรม” (จูฬสาโรปมสูตร 12/374)
 ฉะนั้น  วิมุติหรือเสรีภาพจากพันธนาการของกิเลสและความทุกข์ทั้งปวงจึงเป็นสิ่งที่ดี  หรือเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาในฐานเป็นเป้าเหมายสูงสุดของชีวิต
 ผมเห็นว่า  การที่พุทธศาสนาถือว่าเสรีภาพจากกิเลสและความทุกข์คือเป้าหมายสูงสุดของ ชีวิตนั้นคือ “คีย์เวิร์ด” สำคัญในการทำความเข้าใจ “ความเป็นมนุษย์”  ตามทัศนะของพุทธศาสนา หมายความว่า ความเป็นมนุษย์ แก่นสาร หรือ essence  ของมนุษย์ในทัศนะของพุทธศาสนาคือ “เสรีภาพ”  เพราะหากเสรีภาพไม่ใช่แก่นสารของมนุษย์ก็เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะบรรลุความ หลุดพ้น ซึ่งการบรรลุความหลุดพ้นนั้นในแง่หนึ่งคือบรรลุถึง  “ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์” ซึ่งพุทธมหายานถือว่า  ภาวะความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ คือ “พุทธภาวะ” มีอยู่ในทุกสรรพสัตว์ ฉะนั้น  พุทธภาวะหรือเสรีภาพ คือแก่นสารของความเป็นมนุษย์ที่ทุกคนมีอย่างเสมอภาคกัน  การเคารพความเสมอภาคของมนุษย์  จึงหมายถึงการเคารพและปกป้องความมีเสรีภาพของมนุษย์นั่นเอง
 ประเด็นนี้ ผมคิดว่าสำคัญในการทำความเข้าใจพุทธศาสนา  และเมื่อพุทธศาสนาให้ความสำคัญสูงสุดกับเสรีภาพทั้งในแง่ที่เป็น essence  ของมนุษย์ ทั้งในแง่เป้าหมายสูงสุดของชีวิต หรือความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์  ก็เป็นไปไม่ได้ที่พุทธศาสนาจะปฏิเสธเสรีภาพในทางสังคมการเมือง  หรือจะไปสนับสนุนส่งเสริมระบบสังคมการเมืองที่ลิดรอนเสรีภาพของมนุษย์  เพราะนั่นเท่ากับเป็นการลิดรอนความเป็นมนุษย์
 ฉะนั้น จึงจึงมีปัญหาว่า  ทำไมพุทธเถรวาทแบบไทยจึงยังคงสนับสนุนระบบสังคมการเมืองที่ลิดรอนเสรีภาพและ ความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ เช่น  การส่งเสริมอุดมการณ์ธรรมราชาซึ่งขัดแย้งกับที่พระพุทธเจ้าปฏิเสธระบบชนชั้น  กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร มากว่าสองพันปีแล้ว  ระบบการปกครองสงฆ์ยังขึ้นกับระบบสมณศักดิ์ ยังใช้ พรบ.ปกครองสงฆ์ พ.ศ.2505  อันเป็นมรดกเผด็จการสฤษดิ์ ฯลฯ  ทั้งที่โลกยุคปัจจุบันเป็นยุคแห่งการเรียกร้องเสรีภาพและความเท่าเทียมใน ความเป็นมนุษย์ ซึ่งสอนคล้องกับแก่นสารของพุทธธรรม หรือ essence  ของมนุษย์ตามทัศนะของพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมมากกว่า
 และ “ความดี” ตามความหมายของพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมนั้น  หมายถึงความดีที่ที่นำไปสู่เสรีภาพจากความทุกข์  แต่ความดีของพุทธเถรวาทไทยปัจจุบันกลับหมายถึงความดีที่ทำให้ร่ำให้รวย  ให้เงินทองไหลมาเทมา ให้เจริญด้วยยศถาบรรดาศักดิ์  การเข้าคอรส์ปฏิบัติถือศีลภาวนามีความหมายว่า จะทำให้เกิดสิริมงคลแก่ชีวิต  บุญที่เกิดขึ้นจะดลบันดาลให้ทำมาค้าขึ้น ได้เลื่อนยศตำแหน่ง ผู้ใหญ่เมตตา  และได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติพรั่งพร้อมบริบูรณ์
 ความดีทั้งหลายทั้งปวงที่โปรโมทกันนั้น  ไม่เกี่ยวกับการส่งเสริมความเป็นมนุษย์ที่มีเสรีภาพและความเสมอภาคเลย  นอกจากไม่ส่งเสริมแล้วยังแปลกแยกกับความเป็นมนุษย์ในความหมายดังกล่าว  ฉะนั้น จึงไม่แปลกที่สังคมพุทธแบบไทยๆ  ยังแปลกแยกกับการต่อสู้เรียกร้องเสรีภาพและความเสมอภาค
 หากจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา ผมเห็นว่า  ในสังคมปัจจุบันคนที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพ เพื่อความเสมอภาค  และความเป็นธรรมด้านต่างๆ ทางสังคมต่างหาก คือผู้ที่ทำ “ความดี”  ตามความหมายที่เข้ากันได้กับหลักการพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม  แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะไม่ได้อ้างหลักคำสอน หรือความเชื่อใดๆ  ของพุทธศาสนาก็ตาม
 ตรงกันข้ามพวกที่อ้างคำสอน อ้างความเชื่อของพุทธศาสนา  ประเภททำบุญแล้วรวย ทำบุญอย่างไรจึงจะสวย ทำบุญอย่างไรถึงจะเจริญด้วยลาภ ยศ  สรรเสริญ ฯลฯ  อาจไม่ใช่การทำความดีตามความหมายของพุทธศาสนาที่แท้จริงเลยก็ได้  แต่เป็นการทำความดีในความหมายของ Egoism คือ ทำความดีเพื่อมุ่ง  “ความสุขส่วนตัว” เท่านั้น ซึ่งขัดแย้งต่อหลักการพุทธแบบดั้งเดิม
 และจะเห็นว่า ในยุคปัจจุบันวัฒนธรรมการทำความดี  และการปฏิบัติธรรมของพุทธเถรวาทแบบไทย มีลักษณะโน้มเอียงไปในทาง Egoism  มากกว่า ที่สำคัญแม้ชาวพุทธชอบอ้างเสมอว่า หลักการพุทธศาสนาเป็นประชาธิปไตย  หรือเข้ากันได้กับประชาธิปไตย ระบบสังคมสงฆ์ในยุคพุทธกาลเป็นประชาธิปไตย  แต่พุทธเถรวาทแบบไทยกลับถูกใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนอุดมการณ์ราชาชาตินิยม อย่างเหนียวแน่น และระบบสังคมสงฆ์ยังมีโครงสร้างเป็นเผด็จการอย่างชัดเจน
 ฉะนั้น ความดีตามค่านิยมของพุทธเถรวาทแบบไทย  จึงไม่สนับสนุนส่งเสริมความเป็นมนุษย์ในความหมายของความมีเสรีภาพ  ความเสมอภาค และความเป็นธรรมทางสังคม  หากเป็นความดีที่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว  และส่งเสริมระบบสังคมการเมืองที่ลิดรอนเสรีภาพ ความเสมอภาค  และความเป็นธรรมทางสังคม