ข่าวที่น่าสะเทือนใจที่สุดในรอบสัปดาห์นี้ คือข่าวรองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง แจ้งความตำรวจในข้อหากระทำผิดกฎหมายหมิ่นฯ ม.112 ให้ดำเนินคดีกับลูกศิษย์ตนเอง เนื่องจากได้รับร้องเรียนว่าลูกศิษย์คนดังกล่าวถูก “ล่าแม่มด” ในเว็บไซต์แห่งหนึ่ง (ดูมติชนออนไลน์, 6 ส.ค.54)
นักศึกษาคนดังกล่าถูกแจ้งความตั้งแต่เดือนตุลาคม 2553  และเพิ่งถูกตำรวจจับกุมดำเนินคดีโดยศาลไม่ให้ประกันตัวเมื่อวันที่ 5  สิงหาคมที่ผ่านมา
 ที่น่าสนใจคือ เหตุผลในการแจ้งความของรองอธิการฝ่ายกิจการนิสิตที่ว่า จำเป็นต้องแจ้งความ เพราะ
 1. ถูกกดดันจากสภามหาวิทยาลัย
 2. ต้องการปกป้องชื่อเสียงของสถาบัน (มหาวิทยาลัย)
 นี่คืออักหนึ่งตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นปัญหาของ “ม.112”  ที่ใครจะแจ้งความดำเนินคดีก็ได้ จะเห็นว่า  เหตุผลในการแจ้งความไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการแสดงความรับผิดชอบของผู้แจ้ง  เพราะพิจารณาเห็นว่า “ตนเองต้องแจ้งความเพื่อปกป้องเจตนารมณ์ของกฎหมาย”
 สมมุติว่า คุณเห็นชายคนหนึ่งกำลังวิ่งออกกำลังกายที่สวนสาธารณะ  และคุณจำได้ว่าคนๆ  นี้คืออดีตรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขที่กำลังเป็นข่าวถูกแจ้งความจับเรื่อง ทุจริตยา และขณะนี้ตำรวจกำลังติดตามตัว แล้วคุณก็โทรไปแจ้งตำรวจ  ด้วยเหตุผลว่าในฐานะพลเมืองต้องรักษากฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์  คนทำความผิดต้องได้รับการลงโทษตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเพื่อปกป้องความ ยุติธรรม และความสงบสุขของบ้านเมือง การกระทำของคุณย่อมสมเหตุสมผล
 แต่เหตุผลในการแจ้งความเอาผิดลูกศิษย์ตนเองของอาจารย์คนดังกล่าว  ไม่ใช่เหตุผลเรื่องการช่วยกันรักษากฎหมาย  หรือรักษาเจตนารมณ์ของกฎหมายในฐานะพลเมืองดี แต่เป็นเรื่องของ  “การถูกกดดัน” และต้องการ “รักษาชื่อเสียงสถาบัน”
 คำถามคือ นี่มันคือ “เหตุผล” หรือครับ  ข้ออ้างเรื่องถูกกดดันจากอำนาจที่เหนือขึ้นไป  ข้ออ้างเรื่องรักษาชื่อเสียงสถาบัน  มันมีความสัมพันธ์เป็นเหตุเป็นผลอย่างไรกับการแจ้งความดำเนินคดีกับนักศึกษา คนนั้น เพราะ
 1. การกระทำของนักศึกษาคนนั้นเป็นความผิดส่วนบุคคล  มหาวิทยาลัยไม่ได้ส่งเสริมให้ทำ  แล้วมหาวิทยาลัยจะเสียชื่อเสียงอย่างไรไม่ทราบ  (ถ้าอาจารย์อ้างเครดิตสถาบันไปหาเงินจากการทำวิจัยสร้างความชอบธรรมแก่โรง งานอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษแก่ชาวบ้าน ก็ว่าไปอย่าง)
 2.  สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจตามกฎหมายอะไรที่จะมากดดันในเรื่องดังกล่าวนี้  (ถ้าสภามหาวิทยาลัยไปกดดันผู้บริหารให้เอาผิดกับอาจารย์ที่อ้างเครดิตสถาบัน ไปหาเงินจากการทำวิจัยสร้างความชอบธรรมแก่โรงงานอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษแก่ ชาวบ้าน ก็ว่าไปอย่าง)
 ประเด็นสำคัญคือ การที่ “ม.112  เป็นกฎหมายที่ให้ใครก็ได้แจ้งความเอาผิด”  คือปัญหาสำคัญที่ทำให้การแจ้งความเอาผิดตามกฎหมายดังกล่าว  ไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของกฎหมาย แต่อาจเป็นไปตาม “อคติ”  ของผู้แจ้งอย่างไรก็ได้ เช่น ความเกลียดชังกันเป็นส่วนตัว  ความขัดแย้งทางความคิดเรื่องเสรีภาพและความเสมอภาค  ความขัดแย้งของอุดมการณ์ทางการเมือง การคลั่งเจ้า  การต้องการทำลายศัตรูทางการเมือง ฯลฯ
 ในกรณีของอาจารย์แจ้งจับนักศึกษาก็ชี้ชัดว่าเป็นเรื่อง “อคติ” คือ  “ความกลัว” การถูกกดดันจากสภามหาวิทยาลัย และ “ความกลัว” ว่า  มหาวิทยาลัยจะเสียชื่อเสียง ฉะนั้น  การแจ้งความจับนักศึกษาของตนเองจึงสะท้อน “วุฒิภาวะความเป็นประชาธิปไตย”  ภายในมหาวิทยาลัยได้ในแง่หนึ่งว่า แม้คนระดับรองอธิการบดีก็สามารถใช้  “ความกลัว” แจ้งความให้ลูกศิษย์ของตนต้องติดคุก
 ประเด็น “ด้อยวุฒิภาวะ” ต่อมาคือ  คนระดับรองอธิการบดีนอกจากจะมองไม่เห็นปัญหาของการที่ ม.112  ที่ใครจะแจ้งความเอาผิดก็ได้ดังกล่าวแล้ว  ยังไม่เข้าใจว่ากฎหมายฉบับนี้ขัดแย้งต่อหลักการพื้นฐานประชาธิปไตยคือหลัก เสรีภาพในการพูด “ความจริง” และหลักความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์  ซึ่งหมายความว่า หาก “หลักความยุติธรรม” (principle of justice)  ที่เป็นรากฐานของการออกกฎหมายในสังคมประชาธิปไตยคือหลักเสรีภาพและหลักความ เสมอภาค ม.112 ย่อมขัดแย้งต่อ “หลักความยุติธรรม” ดังกล่าวนี้อย่างชัดเจน