พลังบวก
หนึ่งปีที่ผ่านมา ไม่มีวาทกรรมใดฮิตไปกว่า “คิดบวก” “มองโลกในแง่บวก” หรือ “ปลุกพลังบวก”
เรียกว่า แทบจะเป็นคัมภีร์ประจำชีวิตของประชาชนคนไทยไปแล้ว กลายเป็นเครื่องประดับติดตัว คล้ายๆรองเท้าฟลิบฟลอบทางปัญญา สำหรับคนรุ่นใหม่จิตใจงามไปทีเดียว
ฟลิบฟลอบนั้นเขาเอาไว้รองตีน แต่คิดบวกนั้นเอาไว้รองความคิดและอุดมการณ์
แนวคิดบวกนี้มาจากความคิดที่ว่า สิ่งใดๆที่เกิดขึ้นในโลกนี้ จะร้ายจะดี มันเกิดจาก “ความคิด” (หรือถ้าแนวพุทธๆหน่อยเขาเรียก “จิต”) ของเราเองทั้งสิ้น
เรียกว่า เหตุการณ์หรือสถาวะทั้งหลายนั้นไม่มี “ค่า” อะไร เรานั้นเองที่ไปกำหนดค่าให้มัน ติดสลากกำหนดว่ามันเป็นเรื่องดีหรือร้าย
ดังนั้นเราจึงควรเอา “เครื่องหมายบวก++” ไปแปะไว้ที่อะไรๆก็ตามที่เราเห็นว่ามันร้าย มันแย่ มันไม่ดี
ตัวอย่างหรือครับ
- เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ
- เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ
- เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี
ฯลฯ
บางอันมันหนักข้อไปถึงขั้นว่า
- บ้านไฟไหม้ ขอให้ดีใจว่าได้รู้คุณค่าของการมีที่ซุกหัวนอน
- พ่อตาย ให้บอกตัวเองว่า ต่อไปนี้จะได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวสักที
- ถูกไล่ออกจากงาน จะได้ยินดีว่าชีวิตจะมีอิสรภาพ มีเวลาว่าง ได้ลองเปลี่ยนอาชีพใหม่
- หนังสือตกรอบไม่ได้เข้าชอร์ตลิสต์ ให้คิดว่า เราควรเปลี่ยนแนวไปเขียนเรื่องตลกลามกเหมือนเดิมดีไหม (ข้าพเจ้าเอง)
จนกระทั่งในที่สุด เส้นแบ่งระหว่างการ “คิดบวก” กับการ “หลอกตัวเอง” ก็พร่าเลือน
เจองานหนักแล้วบอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมเข้าสู่มืออาชีพ สมมติว่าคุณเป็นผู้ช่วยทนายความ แล้วรุ่นพี่คุณใช้ให้ไปถ่ายเอกสารสำนวน 500 หน้า 500 ชุดเป็นเวลาสามเดือนติดต่อกัน อืม... ถามตัวเองว่าอยากเป็นมืออาชีพด้านการถ่ายเอกสารหรือเปล่า
เจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ ปรากฎว่า ถ่ายเอกสารผิดขาดไปสามชุด รุ่นพี่ด่าว่า “ไอ้ควาย !” - จบ อืม อันนี้สงสัยชี้ให้เห็นขุมทรัพย์สัตว์สี่เท้าในตัวเรา
พอป่วยไข้เพราะแพ้ผงหมึกเครื่องถ่ายเอกสารหรือเพราะทำงานควงกะถึงตีสอง ก็ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี แล้วที่สอนให้ตูเตรียมพร้อมเป็นมืออาชีพล่ะครัฟ !
หรือบางคนบางกลุ่ม ไปจำคำพระมา บอกว่า ความเจ็บความปวดนั้นมันเป็นเพราะเราดันไปถือไปยึดมันเอาไว้เอง ปวดหัว ปวดหลัง ปวดท้อง นั่นเพราะเราคิดว่า มันคือ หัวของเรา หลังของเรา ท้องของเรา ถ้ามีหาง หางก็คงปวด แต่เพราะเราไม่มีหาง เราถึงไม่ปวดหาง
น่าท้าให้พวกชอบพูดแนวนี้ทดลองว่า เวลาปวดขี้ ให้นึกว่า ขี้ไม่ใช่เรา ตูดไม่ใช่เรา แล้วค่อยมาทบทวนอีกทีเวลากางเกง (ที่ก็คงไม่ใช่ของเรา) เลอะเพราะขี้ราด
(อึราดก็เป็นเรื่องดี เพราะแปลว่าระบบขับถ่ายเรายังทำงานได้ - มาสเตอร์ออฟคิดบวกท่านหนึ่งกล่าวตอบ … สาธุว์)
บางครั้งวาทกรรมคิดบวกถูกใช้เพื่อเป็นเครื่องปลุกใจสำหรับธุรกิจขายตรง หรือหัวหน้างานที่จะหลอกให้ลุกน้องอุทิศเวลาและพลังให้
“อย่าคิดว่าเราทำไม่ได้ ถ้าไม่ได้ทำ”
“ทุกสิ่งเป็นไปได้ภายใต้ความพยายาม”
“ความสำเร็จทั้งหลาย เป็นไปได้ถ้าคุณเชื่อว่าคุณจะมี คุณจะเป็น”
… ดีมาก ไปหาลูกข่ายให้ได้ 46 คน ใน 8 วัน ! รายงานชิ้นนี้ 500 หน้า ลูกค้าจะเอาเช้า ไหวนะ ปิดงานนี้ให้ได้ก่อนเที่ยง ไม่มีโอทีให้ เอาใจแลกมาถือเป็นทีมเดียวกัน ปลุกพลังบวกในตัวคุณขึ้นมา โย่ว์ โย่ว์
ในที่สุดพลังบวกก็กลายมาเป็นยากล่อมประสาทไม่ให้คนรู้สึกว่าถูกเอารัดเอา เปรียบ ซึ่งการคิดบวกนี้ถ้ากินคู่กับยาอีกขนานหนึ่งจะมีประสิทธิภาพในการกล่อมหลอน มาก คือยาจีนที่ชื่อ “ปางหว่อย” - หรือภาษาไทยแปลว่า “ปล่อยวาง”
ปัญหาอะไร เราแก้ไม่ได้ ใหญ่เกินตัว จงวางมันลง - คีย์เน้นคำหลักของลัทธิปางหว่อย
ลูกปวดท้องตัวงอ พาไป รพ. รัฐ คิวยาวขนาดไปรอคิวตอนตีห้าได้รักษาสิบเอ็ดโมง แถมต้องพาเดินจากตึกโน้นไปตึกนี้ต่อตึกนั้นแล้วค่อยกลับมาจ่ายเงินที่เดิม ก็คิดบวกว่า ลูกปวดท้องทำให้เราต้องระวังเรื่องอาหารการกินของลูกให้มากกว่านี้ ลูกปวดท้องยังดีว่ายังมีลูก และระบบโรงพยาบาลสับสนห่วยแตกก็ เป็นปัญหาใหญ่เกินตัว เราแก้ไขไม่ได้ แต่เราวางมันลงได้
เอ้าวาง... ลงไปข้างๆ ปัญหาการใช้งานเกินเวลาโดยไม่จ่ายโอทีด้วย เพราะถือเป็นการฝึกตนให้เป็นมืออาชีพ วางลงข้างๆปัญหาอาชญากรรมเพราะเราทำอะไรไม่ได้ ระวังตัวเองไว้เป็นพอ
ชาวพลังบวกที่ถือลัทธิปางหว่อย เห็นว่า เราไม่จำเป็นต้องเรียกร้องเพื่อแก้ปัญหาใดๆ ในเชิงโครงสร้างหรือความไม่เป็นธรรมในสังคมเลย เพราะแทบทุกปัญหาแก้ไขได้ด้วยการคิดบวกและปล่อยวาง ปัญหาทั้งหลายแก้ไขได้จากตัวเราเองไม่ต้องไปเรียกร้องในสิ่งเกินตัว “เพียงตัวเราเป็นคนดีเท่านี้พอ”
และแน่นอน อะไรก็ตามที่ “เยอะ” เกินไป มันก็จะดีดกลับ พลังบวกที่ท่วมท้น ส่งผลให้เกิดกระแสมุมกลับ คือ “พลังลบ”
พลังลบนี้เป็นมุมกลับของพลังบวก คือ มองหาจุดพลาดจุดพร่องของสรรพสิ่ง มองให้เห็นว่า ไอ้ที่บอกกันว่า “ดี” ทั้งหลายน่ะ “ดี” จริงหรือ คุณรู้ได้ไงว่าดี
การตั้งคำถามเช่นนี้ทำให้รอบคอบไม่หลงกลกับภาพลวงตาพลังบวก หรือวาทกรรมกล่อมประสาท แต่กระนั้นก็เถอะ – มากไปมันก็ “เยอะ” อีกแบบ คือ มึงจะดาร์กอะไรหนักหนากับชีวิต
- งานรับปริญญา คือความฟุ่มเฟือยโง่งม ถูกครอบงำด้วยกระแสที่สุดแห่งการศึกษาคือปริญญา สิ้นเปลืองเสียเปล่า ทั้งดอกไม้ ของขวัญ และเวลา
- เห็นพ่อใช้แม่ขี่มอเตอร์ไซด์ไปซื้อหมูปิ้งปากซอย ก็น้ำตาร่วงด้วยรู้สึกถึงการกดขี่ทางเพศและการครอบงำของค่านิยมชายเป็นใหญ่ ในครัวเรือน
- เห็นลูกวัยสองขวบยกมือไหว้โทรทัศน์ รู้สึกอนาถว่าตกเป็นเหยื่อพรอบพากันด้าตั้งแต่เยาว์วัย
ฯลฯ
ไม่ว่าจะมองโลกในแง่บวก แง่ลบเกินไป สุดท้ายเราก็จะติดกับดัก “พลังคูณ” เข้าให้
พลังคูณ คือเห็นอะไร “มาก” เกินจริงไปโข
อย่างที่ยกตัวอย่างไป ไฟไหม้บ้าน พ่อตาย ก็หาข้อดีมาสนับสนุนพลังบวก
หรือบางเรื่องเราก็มองเสียลบแบบ โล้บบบ ลบบบ จนกระทั่งว่า เฮ้ย เรื่องมันเลวร้ายปานนั้นเลยรึ หรือมันมีการหลอกลวงครอบงำเอารัดเอาเปรียบกันเสียทุกเรื่องขนาดนั้นเลยหรือ
สุดโต่งกันเสียทุกทางเช่นนี้ อยากขอแนะนำทั้งฝ่ายคิดลบ คิดบวก ว่า ให้หา “พลังหาร” ติดตั้งในใจลงไปถ่วงดุลย์เสียหน่อย ว่าเรา “เยอะ” ไปไหม
เรามองอะไรในแง่ “คิดบวก” จนหลอกตัวเองถึงระดับ พ่อตายก็ดีใจ หรือถูกใช้งานอย่างไม่เป็นธรรมก็รู้สึกดี หรืออดทนกับความไม่เข้าท่าของระบบแบบไม่คิดตั้งคำถามหรือเปล่า ?
หรือเรา “คิดลบ” จนมันเบี้ยวไปอีกข้างไปไหม ? แม่ขี่มอ’ไซด์ ไปซื้อหมูปิ้งให้พ่อ อาจจะไม่ใช่เรื่องกดขี่ทางเพศตะหวักตะบวยอะไรหรอก เพราะถ้าพ่อกลับบ้านช้าหรือเมากลับมายังต้องมากราบไหว้แม่ประหลกๆ ขอเข้าบ้านอยู่เลย ไอ้เรื่องที่ลูกไหว้ทีวีก็อาจจะแค่ เห็นในทีวีเขาไหว้เขากราบก็ไหว้ตามกราบตาม หรืองานรับปริญญามันก็แค่พ่อแม่ฉลองว่า ที่กูส่งๆจ่ายๆ ไปหลายปี มันไม่เสียเปล่าโว้ย ต่อไปกูไม่ต้องส่งแล้วโว้ย - แค่นั้นเอง
พยายามหารออกมา จนกระทั่งอะไรๆ มันเหลือเท่าที่มันเป็น ไม่ติดบวก ไม่ติดลบได้ เป็นดีที่สุด
ปวดอึก็ไปเข้าส้วม ทำงานหนักก็พักบ้าง งานยากทำไม่ไหวก็ไปบอกเขาตรงๆไม่ต้องกระแดะคิดว่าได้ฝึกฝีมือ (เดี๋ยวงานเสียขึ้นมารับผิดชอบไม่ไหว) ถ้าเห็นว่าถูกเอาเปรียบก็โวย ป่วยก็หาหมอ หมอช้าก็ไปถามว่าทำไมช้า ถ้าไม่ไหวจริงๆเพราะปัญหาโครงสร้างก็เขียนร้องเรียน ญาติตายก็เอาไปเผา เศร้าได้ บ้านไฟไหม้โทรเรียกประกัน แต่ไม่ต้องดรามา ไม่ต้องหาข้อดีของการญาติเสียหรือบ้านวอด ฯลฯ
เจอคนคิดบวก คิดลบ คิดคูณยกกำลังจนชักจะ “เยอะ” เมื่อไร
ติด “พลังหาร” เอาไว้ในใจเราก็ดีครับ
(บทความนี้พัฒนาความคิดมาจากงาน “นรกพลังบวก” ในนิทรรศการ “ตรรกะสังสรรค์” ที่แอบหนีเมียไปกับชมกับหลิ่มหลีเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา – ใครอย่าไปฟ้องเมียผมเข้าเชียว เดี๋ยวจะเจอ “พลังบวก” ระหว่างสากกะเบือกับกบาลกระผม)