ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Friday, 19 August 2011

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: คนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทย

ที่มา ประชาไท

รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
19 สิงหาคม 2554

1. เผด็จการมุ่งตอกลิ่มคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทย
การที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี และสามารถจัดตั้งคณะรัฐบาลผสมได้สำเร็จ ถือเป็นชัยชนะทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่งของฝ่ายประชาธิปไตย และเป็นการถดถอยที่เกินความคาดหมายของฝ่ายเผด็จการ ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้นอกจากอาศัยพลังการนำที่ขาดเสียมิได้ของทักษิณ ชินวัตรและยิ่งลักษณ์ ชินวัตรแล้ว ที่สำคัญยังเป็นผลจากการทำงานอย่างหนักของคนเสื้อแดงหลายล้านคนทั่วประเทศ ที่เคลื่อนไหวรณรงค์สนับสนุนพรรคเพื่อไทยอย่างทุ่มเทชีวิต

ฝ่ายเผด็จการตระหนักแล้วว่า แนวร่วมคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยคือปัจจัยชี้ขาดที่ทำให้พรรคเพื่อไทยฆ่า ไม่ตาย ทำลายไม่หมด ตราบใดที่แนวร่วมนี้ยังคงอยู่และเข้มแข็ง ฝ่ายเผด็จการจะไม่มีวันได้ชัยชนะในเวทีการเลือกตั้งภายใต้เสื้อคลุมรัฐสภา ฉะนั้น ยุทธศาสตร์ประการหนึ่งของฝ่ายเผด็จการในการทำลายขบวนประชาธิปไตยคือ ต้องทำลายแนวร่วมคนเสื้อแดง-พรรคเพื่อไทย

ในระหว่างการคัดสรรบุคคลเข้าสู่ฝ่ายบริหาร ได้มีความสับสนถึงบทบาทของขบวนคนเสื้อแดง แกนนำนปช. กับพรรคเพื่อไทย เกิดการถกเถียงและความเข้าใจผิดในหมู่คนเสื้อแดงและแกนนำนปช.บางคนที่มีต่อ พรรคเพื่อไทย เปิดช่องให้ฝ่ายเผด็จการใช้สื่อมวลชนในมือและสายลับบนสื่อออนไลน์ ปล่อยข่าวลือ สร้างข่าวเท็จ ยุแหย่ตอกลิ่มเพื่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทย ในการนี้ คนเสื้อแดงต้องหนักแน่น มีสติ ยึดภาพรวมทั้งหมดของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเป็นที่ตั้ง มองทะลุภาพลวงตาของการเลือกตั้งและเสื้อคลุมรัฐสภา ให้เห็นถึงเนื้อในที่ยังเป็นระบอบเผด็จการปัจจุบัน มุ่งหน้าไปให้ถึงเป้าหมายประชาธิปไตยที่แท้จริงในขั้นสุดท้าย จะต้องไม่ตกเป็นเหยื่อการยุแหย่และสงครามจิตวิทยาของฝ่ายเผด็จการอย่างเด็ด ขาด

คนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยนั้นต้องการซึ่งกันและกัน ขาดจากกันมิได้ในการต่อสู้เพื่อไปบรรลุประชาธิปไตย พรรคเพื่อไทยที่ปราศจากคนเสื้อแดงจะแพ้เลือกตั้ง จะถูกกระบวนการตุลาการและอำนาจทหารทำลายได้โดยง่าย ส่วนคนเสื้อแดงที่ปราศจากพรรคเพื่อไทยจะอ่อนแอ ไม่มีที่ยืนในการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่น ไม่มีกำลังที่จะต่อกรกับเผด็จการในแนวรบรัฐสภาและสนามเลือกตั้ง ไม่มีอาวุธในมือใด ๆ ที่จะสกัดอำนาจในระบบของฝ่ายเผด็จการ ความแตกแยกระหว่างคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยคือความพ่ายแพ้ของขบวนประชาธิปไตย

2. พรรคเพื่อไทย
พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองภายใต้กฎหมายและรัฐธรรมนูญ 2550 ที่เป็นระบอบเผด็จการแฝงเร้นของพวกจารีตนิยม พรรคเพื่อไทยจึงถูกจำกัดขอบเขตและมัดมือมัดเท้าทั้งในด้านกิจกรรม การเคลื่อนไหวและตัวบุคคลด้วยโซ่ตรวนทางกฎหมายของพวกเผด็จการ ถึงกระนั้น สนามรบการเลือกตั้งก็เป็นการต่อสู้ที่สำคัญเชิงยุทธศาสตร์ที่ฝ่าย ประชาธิปไตยมีจุดแข็งและมีโอกาสชนะได้มากที่สุด อีกทั้งเป็นสนามรบที่ฝ่ายเผด็จการจะต้องเผชิญอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ช้าก็เร็ว เว้นแต่จะหันไปก่อรัฐประหารและปกครองด้วยเผด็จการที่เปิดเผยยาวนาน

ในแนวรบการเลือกตั้ง หน้าที่ของพรรคเพื่อไทยคือ ต้องชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงมากที่สุด จึงจะสามารถจัดตั้งคณะรัฐบาลได้ ในการนี้ พรรคเพื่อไทยต้องโน้มน้าวจูงใจคนจำนวนมากที่สุดให้หันมาลงคะแนนเสียง ในสภาวะปัจจุบัน คนเสื้อแดงยังไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศ ลำพังแต่คะแนนเสียงของคนเสื้อแดงนั้นไม่พอที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยชนะการ เลือกตั้งได้ ยังต้องอาศัยคะแนนเสียงของประชาชนจำนวนมากที่มิใช่คนเสื้อแดงแต่มีจิตใจที่ เป็นธรรม หรือประชาชนทั่วไปที่เบื่อหน่ายความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาลพรรคประ ชาธิปัตย์ และคาดหวังการแก้ปัญหาของประเทศจากพรรคเพื่อไทย ฉะนั้น ในการหาเสียงเลือกตั้ง การออกแบบนโยบาย ไปจนถึงการจัดตั้งคณะรัฐบาลและการคัดสรรรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยจึงต้องคำนึงถึงคะแนนเสียงทั้งหมด มิใช่คะแนนเสียงของคนเสื้อแดงเท่านั้น และรัฐบาลที่จัดตั้งโดยพรรคเพื่อไทยต้องเป็น “รัฐบาลของคนไทยทุกหมู่เหล่า” ที่มุ่งบริหารงานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทั้งประเทศ

ภารกิจของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยจึงเป็นการเดินนโยบายสองขาคือ ด้านหนึ่ง ก็ บริหารประเทศ แก้ปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าของประชาชนอย่างรีบด่วนและได้ผล เพื่อรักษาความเชื่อมั่นและเพิ่มความนิยมในหมู่ประชาชนส่วนข้างมาก ยึดกุมชัยชนะในสนามรบการเลือกตั้งไว้ให้มั่นเพื่อสู้กับฝ่ายเผด็จการในระยะ ยาวต่อไป ในอีกด้านหนึ่ง ก็ต้องดำเนินการต่อสู้ทางประชาธิปไตย เสริมความเข้มแข็งให้กับขบวนคนเสื้อแดง เพื่อเป็นอาวุธในการรับมือและตอบโต้การรุกทำลายของฝ่ายเผด็จการที่จะเกิด ขึ้นในอนาคต ในการนี้ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องดำเนินมาตรการรูปธรรมหลายประการ ได้แก่ การปลดปล่อยคนเสื้อแดงหลายร้อยคนที่ถูกคุมขังอยู่ทั่วประเทศ การชดเชยและเยียวยาแก่ประชาชนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์ เมษายน-พฤษภาคม 2553 ดำเนินการสอบสวนเปิดเผยความจริงทั้งหมดที่เกี่ยวกับการสังหารหมู่ประชาชนใน ครั้งนั้น นำเอาผู้สั่งการฆ่าประชาชนมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม และที่สำคัญคือ เริ่มต้นขั้นตอนการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ เพื่อขจัดเผด็จการ สร้างประชาธิปไตยที่ “อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรทั้งหลาย”

แต่ในการปฏิรูปรัฐธรรมนูญนั้น รัฐบาลพรรคเพื่อไทยมิอาจกระทำได้แต่ลำพัง แม้จะชนะเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ แต่คะแนนเสียงในรัฐสภายังก้ำกึ่ง และรัฐบาลก็มีอำนาจแท้จริงที่จำกัด ต้องบริหารงานอยู่ในกรงเล็บของตุลาการและกองทัพที่ฝ่ายเผด็จการอาจใช้เพื่อ โค่นล้มรัฐบาลในโอกาสที่เหมาะสม ขบวนคนเสื้อแดงต้องเรียกร้อง กดดัน และประสานหนุนช่วยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยให้ไปดำเนินการต่อสู้ทางประชาธิปไตย อย่างมีจังหวะก้าวและเด็ดเดี่ยว

3. คนเสื้อแดง แกนนำ นปช.
ในการคัดสรรตัวบุคคลมาเป็นรัฐมนตรีนั้น ไม่มีแกนนำนปช.ได้เข้าสู่ฝ่ายบริหารเลย ทำให้คนเสื้อแดงและแกนนำนปช.บางคนแสดงความไม่พอใจ ด้วยอ้างเหตุว่า การกีดกันคนเสื้อแดงจากฝ่ายบริหารแสดงว่า พรรคเพื่อไทย “ประนีประนอมและมีข้อตกลงลับกับเผด็จการ” หรือ “พรรคเพื่อไทยเห็นคนเสื้อแดงมีภาพพจน์เผาบ้านเผาเมือง จึงต้องกันออกไป” เป็นต้น แต่ทั้งหมดนี้ ก็เป็นผลจากการเข้าใจผิดของคนเสื้อแดงและแกนนำนปช.บางคนในสาระสำคัญของการ เลือกตั้งครั้งนี้

ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะกันแกนนำนปช.ออกไปจากฝ่ายบริหารด้วยเหตุผล ใดก็ตาม แต่เมื่อมองจากผลลัพธ์ทางยุทธศาสตร์ของภาพรวมทั้งหมดแล้ว ต้องถือว่า เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

ประการแรก จุดประสงค์ของการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสส.โดยแกนนำนปช.คือ ต้องการ “สิทธิ์คุ้มครองทางสภา” เพื่อรักษาสถานะการนำขบวนคนเสื้อแดงไว้ได้แม้ในยามคับขัน ดังเช่นที่ จตุพร พรหมพันธุ์ ได้แสดงให้เห็นมาแล้ว แต่การได้เป็น สส.แล้วเข้าไปสู่ตำแหน่งทางบริหารอีกนั้นเป็นการขัดต่อจุดประสงค์นี้โดยตรง เพราะแกนนำนปช.ที่มีตำแหน่งบริหารจะไม่อาจเป็นแกนนำนปช.ได้อีกต่อไป

ประการที่สอง การนำเอาแกนนำนปช.เข้าสู่ฝ่ายบริหารในขณะนี้เป็นการเปิดศึกข้อขัดแย้งที่ เผชิญหน้าเร็วเกินไปและโดยไม่จำเป็น คือได้ใจคนเสื้อแดงบางกลุ่มที่ไม่มองภาพใหญ่ แต่เผชิญแรงต่อต้านทั้งจากสื่อมวลชน ชนชั้นกลางในเมืองและฝ่ายเผด็จการทันที คณะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องการเวลาในการสร้างความเชื่อมั่นในหมู่ประชาชนและ สร้างความมั่นคงเข้มแข็งให้กับตนเอง รวมทั้งต้องการเวลาให้คนเสื้อแดงได้ปรับขบวน เพื่อรับมือกับการรุกกลับของฝ่ายเผด็จการ

ประการที่สาม แนวรบนอกสภากับแนวรบในสภานั้น แยกจากกันแต่ก็เดินควบคู่ไปด้วยกัน ขบวนคนเสื้อแดงเป็นกองทัพนอกสภาที่เข้มแข็งและกว้างใหญ่ไพศาล เป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรและของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย สองแนวรบ สองกองทัพ มีหน้าที่ต่างกัน แต่ประสานกันไปสู่จุดหมายปลายทางเดียวกันคือ ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง สำหรับคนเสื้อแดงแล้ว จุดมุ่งหมายของการได้ชัยชนะในการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จไม่ใช่ เพื่อให้แกนนำคนเสื้อแดงบางคนได้เป็นรัฐมนตรี แต่เพื่อให้ได้รัฐบาลที่เป็นมิตรกับฝ่ายประชาธิปไตย เปิดช่องให้คนเสื้อแดงได้ปรับขบวน พัฒนาตนเอง ยกระดับความคิดและการจัดตั้ง เสริมความเข้มแข็งและมีความพร้อมยิ่งขึ้น เพื่อเผชิญกับการรุกกลับของฝ่ายเผด็จการที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนใน อนาคตอันใกล้

แม้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะมีอำนเจบริหารจำกัด แต่ก็เป็นเงื่อนไขเพียงพอที่ฝ่ายประชาธิปไตยจะได้อาศัยเป็นประโยชน์ ยิ่งฝ่ายประชาธิปไตยขยายตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้น รวมตัวจัดตั้งเป็นระบบมากยิ่งขึ้น ชัยชนะขั้นสุดท้ายของประชาธิปไตยก็ยิ่งใกล้เข้ามา สิ่งที่ขบวนประชาธิปไตยต้องเร่งกระทำโดยเร็วคือ ขยายจำนวนคนที่ “รู้ความจริง” ให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ขยายการจัดตั้งในระดับรากฐานให้กว้างขวาง เช่น “หมู่บ้านเสื้อแดง” ในภาคอีสาน และ “บ้านธงแดง” ในภาคเหนือ บนพื้นฐานของภาษาวัฒนธรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่นพื้นบ้าน ประสานกับกระบวนประชาธิปไตยระดับรากหญ้า ตลอดจนการรวมกลุ่มเสื้อแดงในภาคกลางและเมืองใหญ่ตามสภาพสังคมวัฒนธรรมแต่ละ ท้องที่ เร่งขยายผลสะเทือนของประชาธิปไตยไปในหมู่ทหาร ตำรวจและข้าราชการให้มากที่สุด ขยายเครือข่ายสังคมออนไลน์เชื่อมกับเครือข่ายบนดินให้ทั่วถึง จัดตั้งวิทยุชุมชนให้เพิ่มขึ้นครบทุกอำเภอและตำบลทั่วประเทศ จัดตั้งสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเพิ่มขึ้นอีกในประเทศเพื่อนบ้าน ให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค ภาษา และวัฒนธรรมทั่วประเทศ

ทั้งหมดนี้คือการเตรียมพร้อมกองทัพนอกสภา เพื่อรับมือกับการรุกกลับของฝ่ายเผด็จการจารีตนิยมที่จะกระทำต่อรัฐบาลยิ่ง ลักษณ์อย่างแน่นอน บัดนี้ ฝ่ายเผด็จการได้ใช้สรรพาวุธที่มีอยู่จนหมดแล้ว พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องซ้ำรอยเดิมคือ การใช้อันธพาลการเมืองบนท้องถนน ใช้พรรคประชาธิปัตย์ก่อการภายในสภา ทำให้รัฐบาลไม่อาจบริหารงานได้ แล้วใช้ตุลาการในมือมาทำลายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และในที่สุด ถ้าล้มเหลว หนทางสุดท้ายก็คือ รัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีกครั้ง