ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Tuesday, 19 July 2011

มองไม่พ้นหัวแม่เท้าตัวเอง

ที่มา มติชน



โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ

(ที่มา คอลัมน์ที่เห็นและเป็นไป หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 17 กรกฎาคม 2554)


ใน ภาพรวมประชาชนตัดสินนำการเมืองเดินกลับสู่ประชาธิปไตยอย่างงดงาม การได้รับเสียงเกินครึ่งของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เป็นไปตามที่หลายฝ่ายปรารถนา

มันหมายถึงประชาชนตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เพื่อปิดช่องว่างไม่ให้อำนาจนอกระบบนำการไม่ได้รับเสียงข้างมากมาเป็นข้ออ้างในการแทรกแซง

มีความเชื่อว่า ชัยชนะของพรรคใดพรรคหนึ่งอย่างท่วมท้น จะเป็นชัยชนะของประชาชนต่อกลไกของอำนาจนอกระบบ

ให้รู้ว่าประชาชนตื่นตัวทางการเมืองในระดับที่ทุกฝ่ายควรจะรู้ว่าจะเป็นเรื่องยุ่งยากมากขึ้นหากคิดจะต่อต้านกระแสประชาชน

แม้ว่าบางฝ่ายจะยังยืนยันว่า ชัยชนะเลือกตั้ง ไม่ใช่ชัยชนะทางการเมือง

ยังมีกลไกอำนาจมากมายที่จะแทรกแซงไม่ให้การเมืองเป็นไปตามการตัดสินใจของประชาชน

มีการวางแผนสกัดอำนาจของประชาชนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนอยู่ ในแต่ละจังหวะก้าวของการช่วงชิงอำนาจ

แต่คำยืนยันของฝ่ายที่ไม่มั่นใจในอำนาจการตัดสินของประชาชนนี้ คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเพียงการปลอบประโลมของผู้พ่ายแพ้

ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง

เมื่อประชาชนตัดสินใจท่วมท้นถึงเพียงนั้น ทุกคนย่อมรู้ดีว่าการเดินสวนกระแสจะก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในประเทศครั้งใหญ่หลวง

ไม่น่าเชื่อว่าคนที่สติยังดี ไม่เลอะเลือนสาหัส จะทำในสิ่งที่ส่อแววว่าจะนำความรุนแรงกลับมาสู่ประเทศ

ทว่าถึงวันนี้ ความเชื่อมั่นนั้นถูกทอนลงไปทีละน้อย

เรื่องราวที่น่าหวั่นวิตกส่อเค้าว่าจะเกิดขึ้น

ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม คณะกรรมการการเลือกตั้งได้นำความหวาดวิตกนั้นกลับมาสู่ความรู้สึกประชาชน

หลังการไม่ประกาศรับรอง "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ปาร์ตี้ลิสต์อันดับหนึ่งของพรรคเพื่อไทย แม้จะมี "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" อยู่ในเข่งเดียวกัน ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่าไม่มีสองมาตรฐานอย่างที่เคยถูกโจมตี

แต่นั่นไม่ทำให้อะไรดีขึ้น เพราะความเชื่อของคนทั่วไปเริ่มโน้มเอียงไปในทางที่บางฝ่ายยืนยัน

เรื่องราวของการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อสกัดอำนาจที่มาจากการตัดสินใจของประชาชน กลายเป็นประเด็นพูดคุยกันในวงกว้าง

ความไม่เชื่อมั่นเกิดขึ้นอีกแล้ว พร้อมๆ กับความหดหู่ของกลุ่มที่ต่อสู้มายาวนาน

ชัยชนะท่วมท้นกลับคล้ายว่าไม่มีอยู่จริง อำนาจที่เหนือกว่าจะพลิกคว่ำให้ระเนนระนาดเสียเมื่อไรก็ได้

ที่เราเชื่อว่า "ปรองดอง" จะต้องเป็นวาระที่ดำเนินไป เพราะเป็นหนทางเดียวที่จะเป็นทางออกให้ประเทศพ้นจากวิกฤตเสียที

หลัง กกต.แขวน "ว่าที่ ส.ส." ที่เคย "ใส่เสื้อแกนนำเสื้อแดง" แบบยกกระบิ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับคนทั่วไปคือ "สัญญาณปรองดอง" คิดว่าเริ่มมองเห็นที่ปลายอุโมงค์ กลับกลายเป็นดับสลาย

สำนึกที่จะช่วยกันประคับประคองให้ประเทศเดินหน้าไปได้ในความสงบสุข กลายเป็นสัญญาณที่จับไม่ติด

คำถามที่เกิดขึ้นทั่วไปตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ "จะต้องเสียเลือดเสียเนื้อกันอีกแล้วใช่ไหม"

และ "จะต้องเสียกันอีกเท่าไร จึงจะทำประเทศชาติกลับสู่ความสงบได้"

แล้ว "คิดกันไม่ออกหรือว่าทำกันอย่างนี้จะพากันไปไปทุกส่วน"

คำ ถามด้วยความห่วงใยชะตากรรมของประเทศเหล่านี้ กระจายออกไปในคนหลายกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่มีสำนึกไม่อยากเห็นประเทศสู่หายนะต่อหน้าต่อตา

ก่อนหน้านั้นมีคนบอกว่า การตัดสินของประชาชนจะเป็นคำตอบว่าประเทศจะก้าวสู่วิกฤตใหญ่อีกหรือไม่

ทว่า วันนี้ประชาชนตัดสินแล้ว แต่กลุ่มคนที่ไม่ยอมให้เสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเป็นผู้ชนะกลับคล้ายว่าจะมี อำนาจมากกว่าการตัดสินของประชาชน

คนกลุ่มนี้คือผู้ที่ควรจะตอบคำถามที่กลาดเกลื่อนอยู่ในแวดวงผู้ห่วงใยประเทศชาติ

และควรตอบให้ตรงคำถามว่า "นอกจากอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตัว เคยคิดถึงห่วงใยชะตากรรมของชาติและประชาชนในภาพรวมบ้างหรือไม่"