โดย สรกล อดุลยานนท์
ถ้ารัฐบาล "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เป็น "บริษัท"
และกำลังต้องปิดกิจการ
ตอนนี้ "นักบัญชี" คงกำลังกดเครื่องคิดเลขคำนวณเพื่อดูว่า "บรรทัดสุดท้าย" เป็นอย่างไร
"ตัวดำ" หรือ "ตัวแดง"
"กำไร" หรือ "ขาดทุน"
ผมเชื่อว่าเมื่อตรวจสอบบัญชีอย่างละเอียด "อภิสิทธิ์" คงรู้แล้วว่าเขามี "รายจ่าย" มโหฬารจากการแต่งตั้ง "กษิต ภิรมย์" เป็น "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ"
2 ปีกว่าในตำแหน่งนี้ เวลาครึ่งหนึ่งเขาใช้กับการไล่ล่า "ทักษิณ ชินวัตร" ที่เหลือใช้กับการทะเลาะกับ "ฮุน เซน"
ถ้าดูข้อมูลเก่าเราจะเจอข่าว "กษิต" และ "ชวนันท์ อินทรโกมาลย์สุต" เลขานุการ รมต.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงความมั่นใจว่าจะไล่จับ "ทักษิณ" ได้อย่างแน่นอนเยอะมาก
ถึงวันนี้เราก็รู้แล้วว่าที่ทั้งคู่พูดมาตลอดนั้นเป็นความจริงหรือไม่
และไม่รู้ว่าเป็นสัญญาณอะไรหรือไม่ ที่บรรดาทูตประเทศต่างๆ จึงเข้าคิวพบ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งจนรู้ผลการเลือกตั้ง
ถ้อยคำที่เผยแพร่ออกมาเหมือนมีนัยยะอะไรบางประการ
เชื่อว่าหลังจากนี้เราคงจะได้ยิน "ความจริง" ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจากคนในกระทรวงการต่างประเทศ และประเทศเพื่อนบ้านในแถบอาเซียน
นั่นคือ "รายจ่าย" ของประเทศไทย
และที่ต้องจ่ายมากที่สุดคงไม่พ้นเรื่อง "ปราสาทพระวิหาร"
จนถึงวันนี้คนส่วนใหญ่ยังตั้งคำถามอยู่เลยว่าเมืองไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
นึกถึงวันที่ "นพดล ปัทมะ" ลงนามในแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชา สนับสนุนให้ "กัมพูชา" จดทะเบียน "ปราสาทพระวิหาร" เป็นมรดกโลก
ส่วนพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ก็ให้ 2 ประเทศพัฒนาร่วมกัน
ถ้าทุกอย่างจบลงด้วยดีในวันนั้น "กัมพูชา" ก็ต้องรู้สึกดีว่า "ไทย" มีน้ำใจ
ส่วนการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนร่วมกันมี "นัยยะ" แห่งความจริงที่ไม่อยู่ในตัวอักษรในสัญญา
คือ "ไทย" ได้เปรียบ "กัมพูชา" ทั้งศักยภาพทางการเงิน และฝีมือทางธุรกิจ
แค่คิดง่ายๆ ว่านักท่องเที่ยวจะขึ้นปราสาทพระวิหารทางไหน
ก็เมื่อทางขึ้นอยู่ในประเทศไทย เขาก็ต้องขึ้นทางฝั่งไทย
พักที่ไหน ก็ต้องพักทางฝั่งไทยเพราะสะดวกสบายกว่า
แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาในช่วงรัฐบาล "อภิสิทธิ์" กลับมีแต่ความขัดแย้งจนถึงขั้นเปิดศึกที่ชายแดน
คนไทย 5 หมื่นกว่าคนต้องอพยพทิ้งบ้านเรือน
"อาเซียน" ต้องเรียกประชุมเพื่อแก้ความขัดแย้งระหว่าง "ไทย-กัมพูชา"
รัฐบาลไทยถอนตัวจากคณะกรรมการมรดกโลก
"กัมพูชา" ยื่นเรื่องเข้าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
และในที่สุดก็ยื่นเรื่องให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาปี 2505 และคุ้มครองฉุกเฉินให้ไทย-กัมพูชาถอนทหารออกจากพื้นที่ความขัดแย้ง
นี่คือ "รายจ่าย" ครั้งใหญ่ของประเทศชาติ
ที่ผ่านมาแม้ว่าใครจะ "ปากแข็ง" ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทย แต่ในใจนั้นแฝงด้วยความหวาดหวั่นเพราะรู้อยู่ว่าถ้าเรื่องถึง "ศาลโลก" เมื่อไร เรามีโอกาสแพ้มากกว่าชนะ
ใครที่บอกว่าหลักฐานของเราดีกว่า
ใครที่บอกว่ากัมพูชาเสียพื้นที่มากกว่าเรา
ใครที่บอกว่าเราชนะแน่นอน ฯลฯ
ในโลกแห่งความเป็นจริง สุดท้าย "นิทาน" ก็ย่อมเป็น "นิทาน"
และ "นิทาน" เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า....
"คนโง่แต่ขยัน" อันตรายที่สุดจริงๆ