ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Sunday, 24 July 2011

ยิ่งลักษณ์สามารถสร้างความปรองดองในประเทศไทยได้ด้วย “ความจริง”

ที่มา Thai E-News





เป็นเรื่องจริงที่การปรองดองไม่อาจเกิดได้ หากปราศจากความยุติธรรม แต่ในขณะเดียวกันความยุติธรรมก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยปราศจากความจริง

โดย เดวิด สตรัคฟัสส์
ที่มา เวบไซต์โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
แปลจากบทความใน Wall Street Journal

หลังจากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรในวันที่ 3 กรกฎาคม ว่าที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้สร้างความประหลาดใจให้กับประเทศ ด้วยการสัญญาว่าจะสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความ จริง เพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.)

นี่คือกลยุทธ์ทางการเมืองอันอัจฉริยะที่ช่วยคลายความขุ่นข้องหมองใจของฝ่ายตรงข้าม และเพิ่มโอกาสของเสถียรภาพทางการเมือง

ผู้สนับสนุนนางสาวยิ่งลักษณ์มองคณะกรรมการชุดนี้อย่างเคลือบแคลง ซึ่งก็ไม่น่าประหลาดใจนัก เพราะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นคู่แข่งในการเลือกตั้งทั่วไป เป็นผู้ตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาในเดือนกรกฎาคม ปี 2553

โดยให้เวลาสองปีในการทำหน้าที่สอบสวนและรายงานข้อเท็จจริงอันเกี่ยวกับความ รุนแรงที่เกี่ยวข้องกับการใช้กำลังของรัฐบาลและผู้สนับสนุนของกลุ่มแนวร่วม ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือคนเสื้อแดงในเดือนเมษายนและพฤษภาคมปีที่แล้ว โดยการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงของรัฐบาลทำให้มีผู้เสียชีวิต 92 ราย และบาดเจ็บอีก 2,000 ราย

ทั้งคนเสื้อแดง นักวิชาการ และนักกิจกรรมหลายคนตั้งข้อสงสัยว่า คณะกรรมการอาจจะไม่มีความเป็นกลางและจะปกปิดถึงสาเหตุที่แท้จริงของความ รุนแรง

พวกเขาเชื่อว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์สั่งทหารให้ใช้กำลังอย่างรุนแรงต่อผู้ชุมนุม มือเปล่าจำนวนมาก ความกลัวนี้ดูเหมือนว่าจะถูกตอกย้ำเมื่อนายคณิต ณ นคร ประธานคอป.ซึ่งแต่งตั้งขึ้นมาได้ไม่นาน กล่าวเมื่อปีที่แล้วว่า เป้าหมายแรกของคณะกรรมการคือการให้อภัยมากกว่าการค้นหาความจริง

นายฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ นักวิชาการได้ตั้งข้อสงสัยในช่วงนั้นว่า “ความจริงโดยปราศจากความยุติธรรมจะเพียงพอต่อการสร้างความสมานฉันท์ปรองดอง หรือไม่”

การทำงานของคอป.คือส่วนหนึ่งส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์อันบกพรองอย่างลึกซึ้งใน เรื่อง “การปรองดอง”ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่มีการประกาศใช้กฎหมายฉุกเฉินในพื้นที่ ส่วนใหญ่ของประเทศ คนเสื้อแดงนับร้อยคนต้องทนทรมานอยู่ในคุกอย่างยาวนานหลายเดือน และคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

คนเสื้อแดงและนักกิจกรรมมากกว่า 60 รายยังคงถูกคุมขังโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว

คนเสื้อแดงได้วางหลักการอย่างรวดเร็วว่า ประเทศไทยจะไม่สามารถกลับมาปรองดองได้จนกว่าเหยื่อจากเหตุการณ์ปีที่แล้วจะ ได้รับความเป็นธรรม โดยในการชุมนุมมีการเรียกร้องอย่างต่อเนื่องว่า “ไม่มีการปรองดองสมานฉันท์ใดเกิดขึ้นได้โดยปราศจากความยุติธรรม”

ตอนนี้ คำถามคือวิสัยทัศน์ของรัฐบาลใหม่เกี่ยวกับการปรองดองจะประสบความสำเร็จ มากกว่าหรือไม่ พรรคเพื่อไทยของนางสาวยิ่งลักษณ์ในความสำคัญในประเด็นเรื่องความปรองดองไม่ กี่อาทิตย์สุดท้ายของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง และคำพูดโน้มน้าวดังกล่าวทำให้พรรคชนะการเลือกตั้ง

ซึ่งสามารถสันนิษฐานได้ว่าเป็นประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าต้องมีการปรองดองที่ สามารถทุกฝ่ายที่มีความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างกันสามารถยอมรับ หรืออย่างน้อยต้องสามารถอดทนอดกลั้น [ต่อการปรองดอง] ได้

คำมั่นสัญญาที่จะสนับสนุนการทำงานของคอป.ของนางสาวยิ่งลักษณ์ เกิดขึ้นพร้อมกับความกลัวของหลายคนว่า ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยอาจส่งผลให้รัฐบาลใหม่นิรโทษกรรมให้กับทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นพี่ชายของนางสาวยิ่งลักษณ์ และอดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกโค่นล้มโดยรัฐประหารในปี 2549

แต่นางสาวยิ่งลักษณ์กล่าวว่า “ดิฉันต้องการเห็นคณะกรรมการทำงานอย่างอิสระเต็มที่” และยืนยันว่ารายงานคำแนะนำของคอป.ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องนิรโทษกรรม

คำพูดของยิ่งลักษณ์เบี่ยงเบนความสนใจเรื่องการปรองดองโดยการนิรโทษกรรมไปสู่ การค้นหาความจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำ เป็นเรื่องจริงที่การปรองดองไม่อาจเกิดได้ หากปราศจากความยุติธรรม

แต่ในขณะเดียวกันความยุติธรรมก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยปราศจากความจริง

อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยความจริงฟังดูเหมือนจะง่ายในประเทศไทย ข้อเท็จจริงที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สังหารหมู่นักศึกษาที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ในเดือนตุลาคม ปี 2519 หรือการตายของประชาชนในการสลายการชุมนุมนองเลือดของทหารในเดือนพฤษภาคม ปี 2535 ไม่เคยได้รับการเปิดเผย

การปกปิดความจริงทางประวัติศาสตร์ทำให้วัฒนธรรมที่ผู้กระทำไม่ต้องรับ ผิดกลายเป็นอมตะ ไม่มีหัวหน้าคณะรัฐประหารที่ก่อการสำเร็จคนไหนถูกดำเนินคดีในศาลในข้อหาล้ม ล้างรัฐบาลหรือยิงผู้ชุมนุม

ดังนั้น หลังจากรัฐประหารปี 2549 รัฐบาลจึงสามารถใช้กฎอัยการศึกและอำนาจฉุกเฉินอย่างมัวเมา ซึ่งกัดกร่อนหลักนิติรัฐ

ตามมาด้วยการขัดขวางเสรีภาพการแสดงออก ตามการจัดลำดับเสรีภาพสื่อของนักข่าวไร้พรมแดน ประเทศไทยถูกเลื่อนจากอันดับ 54 ในปี 2547 ให้อยู่ในลำดับที่ 153 จาก 178 ประทศทั่วโลกในปี 2553 สิทธิมนุษยชนในประเทศถูกทำลายในหลายปีที่ผ่านมา

แล้วเช่นนั้นพรรคเพื่อไทยจะทำอย่างไรเพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ใหม่ในเรื่องการปรองดอง?

ประการแรกและที่สำคัญที่สุดคือ นางสาวยิ่งลักษณ์จะต้องหาทางที่จะส่ง เสริมความพยายามของคอป.โดยไม่กำหนดวาระการทำงานของคอป. รัฐบาลใหม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้โดยให้อำนาจคอป.มากขึ้น เช่น อำนาจที่จะเรียกเจ้าหน้าที่รัฐและทหารมาให้ปากคำ

คณะกรรมการได้ทำงานเพื่อปล่อยคนเสื้อแดงที่ยังคงถูกคุมขังแล้ว และยังระบุในเอกสารชั่วคราวถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเด ชานุภาพ มาตรา 112 ในประมวลกฎหมายอาญา ถ้าหากคอป.ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจริง ฝ่ายตรงข้ามพรรคเพื่อไทยที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์จะไม่สามารถคร่ำครวญอย่าง น่ารังเกียจได้เลย เพราะพวกเขาเป็นคนจัดตั้งคอป.ตั้งแต่แรก

ประการที่สองคือ พรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องหยุดพูดถึงเรื่องนิรโทษก่อนจนกว่า คอป.จะตีพิมพ์รายงานสุดท้ายในเดือนกรกฎาคม การถอดประเด็นเรื่องนิรโทษกรรมออกจากการพิจารณาของคอป.อย่างชาญฉลาด นางสาวยิ่งลักษณ์อาจจะทำลายความน่าเชื่อถือการตัดสินใจดังกล่าว โดยจัดตั้งกระบวนการพิจารณาประเด็นนิรโทษกรรมแยกต่างหาก

โดยเฉพาะการนิรโทษกรรมพี่ชายของเธอ การพูดคุยเรื่องดังกล่าวจะทำให้ความพยายามขององค์กรอื่นหยุดชะงักและขาดความ ชอบธรรม อาทิเช่น ศูนย์ข้อมูลประชาชนที่ดำเนินการค้นหาความจริงจากเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว

ประการที่สาม พรรคเพื่อไทยจำเป็นที่จะต้องอดทนต่อความอยากแก้แค้น แทน ที่จะดำเนินตามรูปแบบเดิมที่ เมื่อใดก็ตามที่กลุ่มใหม่ขึ้นสู่อำนาจก็มักจะจะปิดสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์ตน เองอย่างรุนแรง นางสาวยิ่งลักษณ์จำเป็นที่จะต้องทำงานกับพรรคการเมืองอื่นเพื่อเพิ่มความ แข็งแกร่งให้กับเสรีภาพสื่อ

ประการสุดท้าย รัฐบาลใหม่ควรจะกำหนดวาระของพันธกรณีที่มีต่อสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรม สร้างความแข็งแกร่งให้กับสิทธิทางรัฐธรรมนูญ รวมถึงทำงานร่วมกับสหประชาชาติเพื่อให้หลักการเหล่านี้ถูกต้องตรงตามมาตรฐาน นานาชาติ ในขณะที่รัฐบาลใหม่สัญญาที่จะสร้างโครงการพัฒนาอันยิ่งใหญ่ รัฐบาลจำเป็นต้องประกันว่าสิทธิมนุษยชนของบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากโครงการ นั้นได้รับการเคารพ

รัฐบาลใหม่สามารถฟื้นฟูภาพลักษณ์ในเวทีโลกโดยการการปกป้องสนับสนุนสิทธิ มนุษยชนนั้น พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงเปิดเผยความอ่อนแอ และลดความขุ่นข้องหมองใจในกลุ่มนักวิพากษ์วิจารณ์ ผลักดันการปรองดอง

และเริ่มนำพาประเทศไทยให้ก้าวไปสู่ประชาธิปไตยที่เต็มใบ

*******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:น้ำลดตอผุดคอป.สรุปชี้ชัดทหารฆ่าให้ลากขึ้นศาล DSIตกเป็นเครื่องมือมาร์ค-จี้ยุติขังลืมแดง-ค้านนิรโทษ