หลังทราบผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา หลายคนอาจกำลังยินดีปรีดาที่พรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ตนลง คะแนนเลือกได้รับชัยชนะ และในทางตรงกันข้าม อีกหลายคนคงกำลังเศร้า เสียใจ ผิดหวังกับผลการเลือกตั้ง และคงมีอีกบางส่วนที่ไม่สนใจ นิ่งเฉย เบื่อหน่ายจนถึงขั้นโกรธแค้น รวมทั้งอีกหลายๆ อารมณ์ที่ไม่อาจคาดเดาและเข้าถึงด้วยเหตุผลต่างๆ กัน
ขณะที่ทุกสายตาของประชาชนก็ต่างจับจ้องถึงทิศทางของการเมืองไทยหลังจาก นี้ คาดเดาว่าหน้าตาของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จากอีกขั้วการเมืองจะเป็นอย่างไร? จะนำพาประเทศต่อไปเช่นใด?
แต่ในสายตา “ประชาชนคนหนึ่ง” ที่สนใจและติดตามการเมืองไทยพอสมควรตลอดระยะเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงและความ ขัดแย้งที่ผ่านมา ด้วยเพราะความสนใจ (ชอบ) เป็นการส่วนตัว และด้วยเพราะการเป็น “นักเรียนรัฐศาสตร์” อันเป็นส่วนสำคัญในการกล่อมเกลาให้ผม ไม่เบื่อหน่าย รังเกียจ หรือเกลียดกลัวการเมืองและนักการเมืองเฉกเช่นคนบางส่วนในสังคม ผมมีความเห็นและอยากสะท้อนเสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งของประชาชนคนนี้ว่า ผมไม่ได้คาดหวังมากมายต่อรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในเร็ววันนี้ ว่าจะต้องปฏิบัติตามสัญญาประชานิยม หรือต้องสร้างความปรองดอง (วาทกรรมศักดิ์สิทธิ์ ที่ทุกภาคส่วนกำลังเรียกร้อง) หรือต้องพัฒนาและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ หรือต้องทำโน่นนี่นั่นให้ได้ในชั่วพริบตา
เพราะไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล จะบริหารประเทศและดำเนินนโยบายไปในรูปแบบใดก็ช่าง จะสร้าง จะลด-แลก-แจก-แถม อะไรมากน้อยหรือจะกระทำการอันใดก็ตามแต่ ผมขอแค่ “รัฐ” อย่ามาละเมิด “สิทธิเสรีภาพ” และ “ข่มเหงรังแกดูถูก” ประชาชน ตลอดจนอย่าก่อ “ความอยุติธรรม” ทุกรูปแบบบนผืนแผ่นดินก็เป็นพอ
เหตุการณ์ที่ประชาชนต้องเดือดร้อนและได้รับผลกระทบไม่จบสิ้นจากการดำเนิน นโยบายรวมทั้งโครงการพัฒนาต่างๆของรัฐและหน่วยงานราชการที่อ้างแต่ว่าจะนำ ความเจริญให้แก่ประเทศและประชาชน โดยไม่ให้โอกาสประชาชนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมในกระบวนการตัดสินใจอย่าง กรณีโรงไฟฟ้าถ่านหิน ทั้งที่แม่เมาะ บ่อนอก-หินกรูด (ที่ประชาชนต่อต้านจนไม่ได้สร้าง) โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ชุมพร โรงไฟฟ้าและโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่จะนะ การก่อสร้างเขื่อนต่างๆ ทั้งเขื่อนสิรินธร เขื่อนปากมูล เขื่อนราศีไศล (ที่ยังคงต่อสู้กันจนถึงปัจจุบัน) นิคมโรงงานอุตสาหกรรมนานาประเภท เหมืองแร่ ท่าเรือน้ำลึก และโครงการพัฒนาอีกสารพัด รวมถึงการใช้ความรุนแรงโดยรัฐที่ขาดการยั้งคิดและการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่าง กรณีการอุ้มหายและอุ้มฆ่า การฆ่าตัดตอน การซ้อมและทรมานขณะจับกุมคุมขัง การเลือกปฏิบัติและการใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม การปราบปรามฆ่าฟันผู้บริสุทธิ์และผู้ชุมนุมทางการเมืองที่เคลื่อนไหวอย่าง สงบ ปราศจากอาวุธ ต้องไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป!
(มิพักต้องกล่าวถึงเรื่องทุจริตคอรัปชั่น อันเป็นรูปแบบหนึ่งของความอยุติธรรมที่ส่งผลกระทบอย่างหนักหน่วงต่อประชาชน และประเทศ ซึ่งผมและทุกคนในสังคมคงไม่อยากให้เกิดขึ้น)
ทั้งนี้ เพราะที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์การเมืองไทย “รัฐ” คือ “ผู้ผูกขาด” การใช้อำนาจ การบัญญัติ บังคับใช้ แก้ไขกฎหมาย และการใช้ความรุนแรงอย่างมีความชอบธรรมมาโดยตลอด…
“ดังนั้น…ไม่ต้องมาดูแลกันมากมาย ขอแค่อย่ามาทำร้ายกันก็พอ”