ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Saturday, 29 January 2011

ไทยรัฐ-ไทยร้าว

ที่มา vattavan

ไทยรัฐ-ไทยร้าว

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

งครามยิงเกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งเราเรียกว่า “วันเสียงปืนแตก” เกิดขึ้นเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508 ซึ่งเป็นวันที่กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ใช้อาวุธโจมตีกองกำลังของรัฐบาลไทยเป็นครั้งแรก
เหตุเกิดที่ บ้านนาบัว ตำบลเรณูนคร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
หลังจากนั้นเพียงสองปี ฐานปฏิบัติการตำรวจตระเวนชายแดนแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ได้ถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ลอบเข้าตีตอนใกล้รุ่ง
ตัวนายตำรวจซึ่งทำหน้าที่ผู้บังคับหมวด เป็นนายร้อยใหม่ๆเพิ่งสำเร็จจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สามพราน เขาและผู้ใต้บังคับบัญชายิงตอบโต้แบบสู้เย็บตา จนสามารถรักษาฐานที่มั่นเอาไว้ได้ และได้วิทยุรายงานเหตุการณ์ ไปยังกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน
พล.ต.ต.กระจ่าง ผลเพิ่ม รองผู้บัญชาการในขณะนั้น ตอบวิทยุ กลับไปว่า
“สมน้ำหน้า! ที่ถูกโจมตี ก็เพราะ...ขาดการลาดตระเวนรอบฐาน!!”
ตั้งแต่นั้นมา ผู้บังคับหมวดคนนี้ ก็ไม่เคยลืมคำตำหนิเชิงสั่งสอน ของผู้บังคับบัญชาท่านนี้เลย
นายตำรวจที่ผมเล่าให้ฟังนี้ เป็นลูกหม้อของตำรวจตระเวนชายแดนตั้งแต่มียศเป็นร้อยตำรวจตรี ต่อมาได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการในที่สุด และได้เกษียณอายุราชการไปหลายปีแล้ว

เมื่อ 4 ม.ค.พ.ศ.2547 ค่ายทหาร ที่ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ชื่อ ‘ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์’ ถูกผู้ก่อการร้ายเข้ายึด และฆ่าทหาร ปล้นเอาอาวุธปืนไปเป็นจำนวนมาก
ผู้คนตกตะลึง!
นับว่าเป็นค่ายทหารที่ถูกตีแตกพ่าย เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 200 ปี ของประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์!
ขายขี้หน้า...เป็นที่สุด!!
ในครั้งนั้น ผมยังอยู่ที่ค่าย ‘ผู้จัดการ’ ก็ได้เขียนบทวิพากษ์วิจารณ์รุนแรง และคิดว่า
เหตุการณ์ที่ถูกผู้ก่อการร้ายสั่งสอนเอาในครั้งนั้น น่าจะเป็นบทเรียนให้ฝ่ายทหาร คิดทบทวนหามาตรการป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้อีก
ความคาดหมายของผม...ผิดไป!

ปีใหม่ปีนี้เพิ่งผ่านไปไม่เท่าไร ในวันที่ 18 ม.ค.2554 ผู้ก่อการร้ายไม่ได้ได้บุกปล้นค่ายทหารอีกก็จริง แต่ครั้งนี้บุกเข้าถล่มฐานทหาร “พระองค์ดำ” ของฉก.นราธิวาส 38 เป็นเหตุให้นายทหารหนุ่มยศร้อยเอก กำลังจะแต่งงาน ต้องสังเวยชีวิต พร้อมผู้ใต้บังคับบัญชาอีกหลายนายไป อย่างน่าเสียดาย
ปืนในคลังถูกปล้นไปกว่า 50 กระบอกพร้อมกระสุนอีกกว่า 5,000 นัด
การโจมตีครั้งนี้ มีลักษณะอุกอาจ มีการวางแผนเป็นอย่างดี ยิ่งกว่าการปล้นค่ายทหารครั้งแรก ที่อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส...
ใช่แต่เพียงแค่นั้น...
ต่อมาอีกไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ชาวบ้าน จะไปเก็บหาของป่า ถูกระเบิดของฝ่ายผู้ก่อการร้าย ตายไปอีก 9 ศพ น่าอเนจอนาถนัก เหตุเกิดที่อำเภอยะหา จังหวัดยะลา
สะเทือนขวัญราษฎร เป็นอย่างยิ่ง!

การโจมตีฐานทหาร เมื่อ 18 ม.ค.2554 นั้น ในวันเกิดเหตุ มีทหารพักถึงครึ่งหนึ่งของกำลังที่มีอยู่ ซึ่งการพักในพื้นที่ซึ่งมีสถานการณ์เข้มข้นนั้น โดยปกติแล้วเขาจะพักกัน 1 ใน 5 ของกำลังที่มีอยู่
ในวันดังกล่าว มีทหารอยู่ในฐานน้อย ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะทหารมีภารกิจในการรับทั้งนายกฯ และผู้บังคับบัญชาของตนมาแล้วก่อนหน้านั้น เลยทำให้บางส่วนพักซ้อนกัน
นอกจากนั้นในวันที่โดนโจมตี หน่วยทหารเรือฝ่ายนาวิกโยธิน มีการจัดเลี้ยงในวันกองทัพไทยในเมือง ทางฐานก็ต้องมีกำลังทหารจากฐานนี้ ไปร่วมงานตามธรรมเนียมด้วย
ดังนั้น ความระมัดระวังตามปกติถดถอยลง การดูแลรักษาความปลอดฐานจึงย่อหย่อนลง และ เรื่องการจัดชุดลาดตระเวนรอบฐาน ก็คงไม่ได้ทำ
ความสูญเสียจึงเกิดขึ้น!

ผู้บัญชาการทหารบก คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งรับผิดชอบกองทัพบก นอกจากจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ แล้ว ยังไม่ได้ออกมาพูดจาให้ความอุ่นใจกับประชาชน แต่กลับบอกว่า ประชาชนไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของทหารเสียอีกด้วย
ตัวท่าน ผบ.ทบ.เอง ก็เพิ่งมีปัญหากับสื่อ เพราะการออกอารมณ์ฉุนเฉียว จนถูกวิพากษ์วิจารณ์เอามากๆ เมื่อไม่นานมานี้ มาคราวนี้ก็เอาอีก ด้วยการพูดจา ‘ขัดหู’ ชาวบ้าน
ผมคิดว่า สื่อมวลชนมีสิทธิ์ไต่ถามเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะประชาชนเองก็มีสิทธิ์รู้ว่า กองทัพมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน ในการรักษาแผ่นดินของบรรพบุรุษผืนนี้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้อาสามาทำหน้าที่ ‘ทหาร’ และบัดนี้ได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาลนี้ ให้ดูแลรับผิดชอบเหนือหน่วยราชการอื่นๆ แต่กลับทำงานไม่ ‘เข้าตา’ ชาวบ้าน แล้วยังมาพูดจาในทำนองต่อว่าชาวบ้านเสียอีก
ยิ่งกลายเป็น ‘ขี้ปาก’ ผู้คนหนักขึ้นอีก!
ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก คือการแสดงออกด้วยภาษากายของท่าน มีการออกแอ๊คชั่นลีลาด้วยท่าทาง ที่เหมือนจะพยายามแสดงว่า เป็นคนเอาจริงและดุดัน คล้ายตั้งใจทำให้ภาพลักษณ์ออกมาดูเหี้ยมเกรียมน่ากลัว แต่แทนที่ชาวบ้านจะกลัว เขากลับมีความไต่ถามกันว่า
‘เว่อร์’ เกินเหตุไป หรือเปล่า!!?

การที่ พล.อ.ประยุทธ์ฯมาเป็น ผบ.ทบ.นั้น ทั้งสื่อและประชาชนก็ทราบดีว่า ตัวท่านเองยังไม่เคยมีประวัติในการรบ จนเป็นที่ประทับใจทหารและชาวบ้าน เหมือนกับอดีตผู้บังคับบัญชาทหารบกบางท่าน
แต่นั่น ยังไม่ใช่ประเด็น...
เรื่องหลักจริงๆอยู่ตรง ทั้งสื่อและชาวบ้าน เขาต้องการทราบว่า เมื่อมีเหตุร้ายอย่างนี้เกิดขึ้นในยุคสมัยที่ท่านรับผิดชอบ
ท่านและกองทัพบก มีกลยุทธ์ที่จะใช้แก้ปัญหาภาคใต้นั้นได้ดีแค่ไหน?
ตรงนี้และที่สำคัญ!

สำหรับสื่อและประชาชน เขาเห็นว่าการก่อการร้ายที่ปลายด้ามขวานของไทยเรา มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และนี่เอง คงชี้ให้เห็นว่า
ท่าน ผบ.ทบ.มี ‘กึ๋น’ อยู่แค่ไหน!!?

ขอบอกกันตรงๆ เลยว่า
ความเป็นผู้นำหน่วย ที่จะทำให้ผู้คนเขาเคารพนับถือ นอกจากมีความสามารถในการนำหน่วยแล้ว การพูดจากับสาธารณะชน ไม่ว่าจะเป็นสื่อหรือประชาชน ควรจะแสดงความเป็น ‘ผู้ดี’ และที่สำคัญจะต้องแสดงความเป็น ‘มิตร’ด้วยน้ำใสใจจริง
จึงจะเอาชนะใจชาวบ้านได้!
หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. หากท่านต้องการที่จะลดการวิพากษ์วิจารณ์ ของสื่อและชาวบ้าน นั้น
ท่านจะต้องทำให้กองทัพ มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ และต้องมีความตั้งใจจริง ที่จะกวาดล้างทุจริตในกองทัพ ซึ่งบ่อนทำลายและกัดเซาะความเชื่อมั่นของผู้คน
รวมทั้งคนในกองทัพด้วย!!

ผมอยากให้ท่านลองศึกษาเรื่องเจ้ากรมทหารสื่อสาร ยศ พล.อ. 3 นาย ที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลไปเรียบร้อย และยกเป็นตัวอย่างเตือนใจทหารผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านด้วย
นี่ยังไม่นับรวมเองคอรัปชั่นในกองทัพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “เรือเหาะ” ที่ไม่เคยเหาะได้เหมือนชื่อ หรือเรื่อง “ไม้ชี้หลุมขี้” ที่พี่น้องประชาชน เขาพากันขบขันปนสมเพชไปทั้งประเทศ แล้วพากันพูดเป็นเสียงเดียวว่า
“ทำไมมัน ‘ทุเรศ’ อย่างนี้! (วะ)”
ดูอย่างกลุ่มพันธมารที่กำลังไปเปิดเวทีอยู่ที่มัฆวาน ยังเอาเรื่องคอรัปชั่นของทหารมาด่าโครมๆ ผมไม่เห็นมีทหารหน้าไหน ออกไปเถียงว่า...
พวกตัวเองนั้น ไม่ได้คดโกงแผ่นดินสักคน หรือไม่กล้าสู้หน้าพวกพันธมารก็ไม่รู้
กลัวกันมาก...ขนาดนั้นเลยหรือ?
สรุปว่า พล.อ.ประยุทธ์ฯ จะต้องหมั่นเตือนผู้ใต้บังคับบัญชา ในเรื่องความซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน และตัวท่านเอง ก็จะต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างอันดีด้วย
ก็เตือนกันไว้ แค่นี้แหละ!!

ารแก้ไขปัญหาภาคใต้นั้น มีการทุ่มเทงบประมาณมหาศาล แต่ผลที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง ความรุนแรงก็กลับเพิ่มมากขึ้น
แม้ทางทหารและทางราชการ จะออกมาโปรปะกันดา ผ่านช่องทางต่างๆว่า สถานการณ์ค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ การก่อการร้ายเป็นรายครั้งลดลง ระดับความรุนแรงลดลง เสร็จแล้วกล่าวสรุปสถานการณ์ ด้วยคำกล่าวที่เป็น cliché หรือซ้ำซากน่าเบื่อหน่ายว่า
เรามาถูกทางแล้ว!
ผมคิดว่า ในการแก้ปัญหาภาคใต้นั้น จะต้องมีการศึกษาหนทางปฏิบัตินอกกรอบ แต่มีความเป็นไปได้ แล้วนำมาลองใช้กันบ้าง
จะขอยกตัวอย่างแนวความคิด ของคนใกล้ตัว ที่เป็น ก.ตร.เลือกตั้ง คือ พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ได้ให้สัมภาษณ์ น.ส.พ.ไทยโพสต์ ฉบับแทปลอยด์ ประจำวันอาทิตย์ ที่ 23 ม.ค.2554 ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า
สมควรจะยกมาให้ท่านผู้อ่านพิจารณากันในวันนี้ เพราะนานๆครั้งจะมีคนคิดหาแนวทางใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องที่เป็นความทุกข์ของแผ่นดินกันอย่างจริงจัง
ก.ตร.หมาดๆผู้นี้ เขาได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ อย่างนี้ครับ....

“...มมีแนวคิดที่จะแก้ไขปัญหาภาคใต้ด้วย ได้เคยบรรยายในหลักสูตรต่างๆว่า
ถ้าแก้ไขปัญหาในแนวทางที่ผมศึกษามากว่า 40 ปี ผมไม่เห็นด้วยกับ ‘การเมืองนำการทหาร’ หรอก
ผมจะใช้ ‘ศาสนานำการปกครอง’
ที่นั่นคนเคร่งศาสนา คนที่ไปอยู่ที่นั่นต้องยึดมั่นในศาสนา ต้องเป็นคนดี การแก้ไขปัญหาต้องแก้ไขให้ถูกจุด
7 ข้อที่ ‘หะยีสุหรง’ ขอไว้ มีข้อใดบ้างที่ทำได้ ต้องทำ เพราะฉะนั้น ผมหยิบปัญหาตรงนี้มาพิจารณา
วันนี้ผมเป็น ก.ตร. ผมจะผลักดันการรับบุคลากรตำรวจที่ 3 จังหวัด...ให้รับคนพื้นที่
วันนี้ ผมไปสำรวจตำรวจใน 3 จังหวัดถูกฆ่า คนเป็นมุสลิมที่เกษียณและยังไม่เกษียณ ถูกฆ่ามาก จนกระทั่งเหลือประมาณพันคนเท่านั้น ในอัตรากำลังที่มีอยู่ 12,000 คน
ถ้าวันนี้เราเปลี่ยนเอาคนพื้นที่อื่นที่ลงไป กลับไปปฏิบัติงานที่บ้านของเขา และรับคนพื้นที่ทั้งหมด เราอาจจะรับ 2 ระดับ ชั้นประทวนในระดับที่จบปริญญา แต่จบ ม.ปลาย หรือศาสนา ระดับ 10 ที่จบโรงเรียนธรรม เป็นคนที่รู้ศาสนาอิสลามดี เรารับเพราะเทียบเท่า ม.ปลาย
ผมว่าเราเพิ่มตำรวจมุสลิม สัก 5,000 คน ใน 20 ปี ข้างหน้า เราจะครองใจผู้คนได้ วางระบบการรับทั้งสัญญาบัตร ในพื้นที่ที่เขามีพ่อแม่ลูกเมียอยู่ที่นั่น มีข้อแม้อย่างเดียวว่าต้องพูดอ่านเขียนไทยคล่อง ภาษาไทยต้องลึกซึ้ง
ผลจากการนี้ สมมติ 5,000 คน จะมีคนหันกลับมาเรียนภาษาไทยกันมากขึ้น
คนเหล่านี้จะไปเป็นตำรวจในพื้นที่ ที่สามารถสื่อสารประชาชนได้ในภาษาเดียวกัน เข้าใจวัฒนธรรม มีศรัทธา ความเชื่อในศาสนาเดียวกัน ความผสมกลมกลืนในพระบรมราโชวาท เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ย่อมทำได้โดยง่าย
ทำเช่นนี้ลองคิดดูว่า 5,000 คูณ 20 คือ 10 จากฝ่ายพ่อแม่ของเขา และ10 จากฝ่ายพ่อแม่ภรรยา เราจะได้คน 100,000 คน (หนึ่งแสนคน) มาเป็นพวกรัฐ
ถ้าเอาคนหนึ่งแสนคน ไปดูคน 2.3 ล้านเท่ากับ 1 ต่อ 23
คุณว่าการข่าว...จะดีขึ้นไหม?
การเข้าถึง(ประชาชน)...จะดีขึ้นไหม?
ก่อนจ่าเพียรตาย ก่อนผมจะลาออก ผมยังพูดกับท่านอดุลย์ (แสงสิงแก้ว) ว่า
พี่กลับไปนี่ พี่จะไปจัดสรรเงินกองทุนสวัสดิการ ที่พี่เป็นคนหามา เอามาจัดศูนย์สอนภาษาถิ่น เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานพูดภาษาถิ่นได้ การเข้าใจภาษาถิ่นก็เหมือนกับรู้เขารู้เรา

ฉะนั้น ปัญหาภาคใต้ผมว่าแก้ได้ แต่ไม่ได้แก้ด้วย ‘ราคาคุย’ ที่บอกว่า 6 เดือน 99 วัน 1 ปี ไม่มีทาง
ถ้าเรายอมรับความจริง ต้อง 1 generation ต้อง 20 ปี ผมตายไปแล้วนั่นแหละ
จะแก้ไขปัญหาภาคใต้ให้ลุล่วงได้ ต้อง ‘กลับความรู้สึก’ ของชาวบ้าน เขาเป็นเจ้าของพื้นที่ เขาไม่อยากไปอยู่ประเทศอื่นหรอก แต่...
ให้เขามีเกียรติ มีศักดิ์ศรี รักษาอัตลักษณ์ เชื้อชาติมาลายูและ อิสลามของเขา แต่ขณะเดียวกันในหลักศาสนาอิสลาม เกิดแผ่นดินไหน ก็เป็นของแผ่นดินนั้น
เขาเป็นคนไทย คนสยาม คนที่นั่นข้ามไปมาเลย์ เขาก็ไม่รับ เขาบอกว่าคุณไม่ใช่บุตรของแผ่นดิน (ภูมิปุตรา)
คุณเป็นคนสยาม! ...”

นั่นเป็นแนวความคิดนอกกรอบ ของคนที่เฝ้าติดตามศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นที่นั่นมานาน แต่รัฐบาลยังไม่เคยคิด
รัฐบาลจะลองนำไปคิดต่อกันดู ก็คงไม่ผิดกติกาอันใด
สำหรับตัวผู้เขียนเองนั้น ก็มีแนวความคิดในเรื่องกลยุทธ์ในการลดปัญหาความรุนแรง โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อทั้งสองฝ่ายด้วย แต่การเสนอผ่านหน้าสื่อ ดูจะไม่สมควร อย่างไรรับรองว่า ผมจะเสนอแน่...
ถ้าเรามีรัฐบาล ที่ดีกว่าชุดปัจจุบันนี้!

ปัญหาการก่อการร้ายที่ปักษ์ใต้นั้น ก็เป็นโจทก์ใหญ่ก็จริง แต่โจทก์มหึมากว่า ผมว่ายังคงอยู่ที่กรุงเทพและจังหวัดทั่วไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนเอง ไม่สบายใจเอามากๆ และต้องนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง คือ
ไม่กี่วันมานี้ ผมมีโอกาสได้นั่งแท็กซี่ และสนทนากับคนขับรถหลายเรื่อง และคุยกันถึงเรื่องการโจมตีฐานทหาร เขาแสดงความเห็นด้วยความ ‘สะใจ’ ว่า
“สมน้ำหน้า แม่งงงงงง!”

content/picdata/276/data/sodier.jpg

ถามถึงเหตุผล เขาก็บอกว่า ที่สะใจก็เพราะทหารได้แสดงความโหดเหี้ยม ในเหตุการณ์สังหารประชาชนที่ราชดำเนินและราชประสงค์ ปีที่แล้วนั่นเอง
ผมลองสดับตรับฟังดู ในฐานะที่ตัวเองก็เป็นมือข่าวเก่า คนที่คิดอย่างโชเฟอร์แท็กซี่คนนี้ มีจำนวนไม่น้อยทีเดียว
คิดแล้วก็น่าใจหาย!
เมื่อครั้งที่บ้านเรา ยังที่การเผาศพทหารตำรวจและพลเรือน จำนวนมาก ที่ต้องล้มตายไปในการสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์ ณ เมรุวัดพระศรีมหาธาตุ เป็นประจำปี หลายปีติดต่อกัน ในยุคนั้นเรามีพิธีพระราชทานเพลิงศพที่ให้กับผู้กล้าหาญ อย่างน่าประทับใจมาก
ประชาชนคนที่เป็นชาวบ้าน แม้จะไม่รู้จักผู้ตายคนไหนเลย ต่างก็ไปร่วมงานอย่างคับคั่ง เพราะพวกเขาคิดว่า
คนเหล่านั้นเป็น ‘วีรบุรุษ’ เป็นผู้เสียสละให้ชาติไทยอันเป็นที่รักของเรา เมื่อตายตามหน้าที่ พวกเขาก็ไปแสดงความเคารพ เป็นการเกียรติ กับ...
ผู้มีบุญคุณต่อแผ่นดิน!

มาถึงวันนี้ ทหารจะตายก็ตายไป ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ นอกจากไม่สนใจไต่ถามแล้ว ยังมีจำนวนมากที่สมน้ำหน้าให้เอาด้วย
อย่างนี้ก็มี!
ที่น่าแปลกใจจริงๆก็คือ เมื่อมีข่าวทหารไทยจะรบกับเขมร ชาวบ้านคนไทยแท้ๆจำนวนไม่น้อย ก็พลอยดีใจ เพราะอยากให้เขมร ช่วยล้างความรู้สึกคั่งแค้น ของพวกเขาออกไปบ้าง หลังจากพี่น้องเพื่อนร่วมชาติ ต้องถูกกลุ่มทหารสังหาร อย่างทมิฬหินชาติ จนอื้ออึงไปทั่วโลก

ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ
ยามนี้ คนในบ้านเมืองของเรา นอกจากหมดรักกันแล้ว ยัง ‘เกลียดชัง’ กันอย่างลึกซึ้งอีกด้วย
น่าเป็นห่วงยิ่งนัก!

บ้านเมืองของเรา ไม่ใช่ ‘ไทยรัฐ’ แต่กลายเป็น ‘ไทยร้าว’ เสียแล้ว!!

...............

(คอลัมน์ ไทยรัฐ-ไทยร้าว ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 29 มกราคม พ.ศ.2554)