โดย bozo
“ปีเถาะ 2554 เป็นปีที่ต้องต่อสู้กันทรหดทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ
ใครก็ตามที่เป็นรัฐบาลต้องเผชิญวิกฤตการณ์รุนแรงที่สุด
ฝ่ายค้านจะแย่งอำนาจ คนในเครื่องแบบจะรอให้ทั้ง 2 ฝ่ายเพลี่ยงพล้ำลง
ส่วนประชาชนตาดำๆและยากจนจะหวาดผวา
ปัญหาคอร์รัปชันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่ต้นปี ถึงขนาดรัฐบาลต้องมีอันเป็นไป
เหตุการณ์ของประเทศจะพลิกผันอย่างที่ไม่เคยเห็น
และจะเกิดความว่างเปล่า ไม่มีนัก การเมืองพรรคใดหลงเหลืออยู่ในระบบ
พรรคการเมืองจะสูญสิ้นไปจากประวัติศาสตร์การเมืองไทย”
คำพยากรณ์ของโหราจารย์ชื่อดัง “โสรัจจะ นวลอยู่” ที่พยากรณ์ดวงเมืองปี 2554
และชี้ว่าดาวสีเลือดได้รับแสงจากดาวมฤตยู
ในช่วงเดือนมีนาคม 2554 เป็นดาวปฏิวัตินองเลือดในมุมร่วมธาตุ
เกิดสภาพการณ์เดือดพลุ่งพล่านไม่สงบ
เกิดเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า
เกิดศึกสงครามทั้งภายในและภายนอก
เกิดความยุ่งยากทางการเมืองขนาดหนัก
ซึ่งผู้เป็นใหญ่และผู้คนสำคัญจะร่วงหล่นกันมาก
อำนาจเก่าๆของคนเก่าๆจะเสื่อมถอย
จะเกิดเหตุการณ์นองเลือดรุนแรง
กลุ่มชน ฝูงชนอาจจะเคลื่อนไหวโดยการสนับสนุนของผู้มีอำนาจเก่าอย่างเร้นลับ
และเกิดการปฏิวัติรัฐประหารอีกครั้ง
“นักการเมืองชั่วพึงระวังเอาไว้ ถึงเวลานั้นประชาชนอาจลุกฮือขึ้นมาฆ่าเอง
โดยไม่แคร์ขื่อแปบ้านเมือง ดวงของบ้านเมืองใกล้ถึงจุดนี้แล้ว”
“สฤษดิ์ 2” ทหารครองเมือง!
การพยากรณ์ของโหรโสรัจจะจึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากมายในทุกวงการ
ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เช่นเดียวกับหมอนิด (กิจจา ทวีกุลกิจ) ที่ยืนยันว่า
การปฏิวัติรัฐประหารมีโอกาสเกิดสูงมาก ไม่ว่าก่อนหรือหลังการเลือกตั้ง
เพราะการเมืองและบ้านเมืองวุ่นวายหนัก ทั้งเคยพยากรณ์ว่าทหารเกิดการปีนเกลียวกัน
แต่ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนจะชิงลงมือก่อน ปีสองปีนี้ทหารยังมีบทบาทและมีอำนาจยิ่งกว่าปีที่ผ่านมา
ทั้งอาจได้เห็น “สฤษดิ์ 2” พรรคการเมืองจึงมีสิทธิพักงานยาว
แม้ที่ผ่านมา “ผู้นำรอด แต่ประเทศไม่รอด”
เพราะคนรับกรรมคือพ่อค้า ประชาชน ไม่ใช่นักการเมือง
หมอนิดยังเตือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ว่า
จะทำการอะไรต้องรอบคอบและระวังจะผิดพลาด
หรือทำสำเร็จแล้วแต่ส่งไม้ต่อให้กับคนดวงไม่ดีประเทศก็จะเสียหาย
ขณะที่นายภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ
เตือนให้ระวังจะเกิดความรุนแรงถึงขั้นนองเลือด เช่นเดียวกับ
นายภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ประธานกรรมการสถาบันศาสตร์แห่งชีวิตแห่งประเทศไทย
พยากรณ์ว่า บ้านเมืองจะปั่นป่วนถึงขั้นมีอาวุธ ระเบิด ปืนไฟ
สร้างปัญหาจนคนในเครื่องแบบต้องออกมาดูแลบ้านเมือง
แต่ถ้าสถานการณ์รุนแรงถึงขั้นนองเลือดก็หนีไม่พ้นปฏิวัติรัฐประหาร
ถ้าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ต้องการให้ถึงขั้นนั้นต้องอดทนและใจเย็น เอาน้ำเย็นเข้าลูบ
และให้ผู้มีความสามารถประสานมือทั้งสิบทิศคุยกับทุกฝ่าย
รัฐบาลชนวนวิกฤต?
การพยากรณ์ของโหรดังหลายคนจึงสอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้
เพราะตั้งแต่ปลายปี 2553 ก็มีสัญญาณความวุ่นวายในบ้านเมืองเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่ใช่แค่กรณี 7 คนไทยที่ถูกฝ่ายกัมพูชาจับกุมตัว
และนำมาสู่การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ที่เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกเอ็มโอยู 43 ถอนตัวออกจากคณะกรรมการมรดกโลก
และใช้ความเด็ดขาดผลักดันชาวกัมพูชาออกไปจากแผ่นดินไทย
ส่วนกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน
ยังเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมกรณีเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
ขณะที่รัฐบาลก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากมายว่าล้มเหลว
ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและเต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน
โดยเฉพาะช่วงใกล้จะหมดวาระของรัฐบาลมีการนำงบประมาณไปใช้หาเสียง
และจัดสรรผลประโยชน์ให้กับพรรคร่วมรัฐบาลตามโครงการต่างๆ
หรืออย่างที่เห็นล่าสุดก็คือ นโยบายประชาวิวัฒน์ที่เป็นการลดแหลก แจก แถม
โดยไม่คิดถึงอนาคตของประเทศ
เพราะมัวแต่คิดถึงอนาคตการเลือกตั้งครั้งต่อไปเท่านั้น
แม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เพิ่งผ่านวาระ 2 ที่แก้ไข
เรื่องเขตเลือกตั้งเป็นเขตเดียวเบอร์เดียว
และสัดส่วน ส.ส.เลือกตั้งกับ ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็น 375 ต่อ 125
ก็เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองเองทั้งสิ้น
แม้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะประกาศแผนปฏิรูปประเทศ
โดยตั้งคณะกรรมการต่างๆขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นคณะของ
นายอานันท์ ปันยารชุน
นายแพทย์ประเวศ วะสี
นายคณิต ณ นคร และ
นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์
ผ่านมาแล้วหลายเดือนแทบจะไม่มีอะไรคืบหน้า
นอกจากข้อเสนอ 6 ข้อของนายสมบัติให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่รัฐบาลเลือกเฉพาะประเด็นที่เอื้อประโยชน์กับรัฐบาลและพวกพ้องเท่านั้น
ประเด็นที่เห็นชัดว่าสวนทางระบอบประชาธิปไตยชัดๆ อย่างเช่น
ส.ว.สรรหาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งกลับไม่กล้าแตะต้อง
รักชาติแบบพันธมิตรฯ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯที่เคยให้การสนับสนุนนายอภิสิทธิ์
แต่กลับมาขับไล่รัฐบาลนั้น ได้ออกมาประณามนายอภิสิทธิ์ว่าเป็นจอมโกหก
โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ได้ไล่เรียงมา
ตั้งแต่ปี 2548 ที่นำพันธมิตรฯออกมาสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนเกิด
การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
และนายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ล้วนสู้เพื่อหลักการทั้งสิ้น ไม่ได้สู้เพื่อพรรคประชาธิปัตย์ หรือเพื่อใคร
แต่มวลชนอีกส่วนหนึ่งต่อสู้เพราะเห็นว่าประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ดีจึงอยากให้ปกครองบ้านเมือง
แต่วันนี้คนที่ชูนายอภิ-สิทธิ์เพราะคิดว่ายังขายได้ ขายได้กับคนโง่ๆ ประเทศไทยฉิบหาย
นอกจากเพราะนักการเมืองเลวแล้วยังมีคนโง่ๆที่หลงในความหล่อ
“ยังไม่เคยเห็นนายกฯคนไหนโกหกเท่านายกฯคนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯที่ปลิ้นปล้อนที่สุด
แต่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯที่โกหกมากที่สุด
วันนี้นอกจากจะใช้วิชามารเรื่องข่าวแล้วเขายังฝันว่าเราจะมีอยู่แค่หยิบมือเดียว
แต่เขาเข้าใจผิด ที่ผ่านมาเราไม่ได้สู้เพื่อประชาธิปัตย์ แต่เราสู้เพื่อชาติบ้านเมือง”
ขณะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ยืนยันว่า
ข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อเป็นสิ่งที่รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ทำได้ง่าย
และสามารถทำได้นานแล้วแต่ไม่ยอมทำ อ้างว่าจะเกิดสงคราม
ถ้ากลัวก็เปลี่ยนเพลงชาติหรือยกเลิกไปเลย
ถ้าจะเป็นประเทศขี้กลัว ทั้งยังพูดถึงบทบาทของกองทัพว่า
“ทหารอย่างพวกผมไม่ได้มีไว้สำหรับอวดเด็กกับอวดผู้ใหญ่เท่านั้น
อวดเด็กคือจัดงานวันเด็กให้เด็กไปดูแสนยานุภาพที่ซื้อมาด้วยเงินแพงๆ
อวดผู้ใหญ่คือสวนสนาม อวดเด็ก อวดผู้ใหญ่ อวดไป
แต่เขามีไว้เพื่อปกป้องดินแดน พวกผมถูกฝึกมากินเบี้ยเลี้ยง เงินเดือน เพื่อสู้รบทำอย่างเดียวคือ
ปกป้องดินแดน แต่เขมรขู่เอาๆ กำลังที่เราเอามาเป็นกำลังในการต่อรอง
ไม่ต้องใช้อำนาจกองทัพบก กองทัพเรือ ใช้แค่บางส่วนของกองทัพอากาศเขมรก็หงอแล้ว
เพราะเครื่องบินรบที่ทันสมัยเขมรมี 4 ลำ มิก 21 ใช้ไม่ได้แล้ว เก่าเกินไป บินไม่ได้
ของเรามีเอฟ 5 เอฟ 16 เป็นร้อยลำ”
ผลประโยชน์แอบแฝง?
ท่าทีของกลุ่มพันธมิตรฯจึงไม่ใช่แค่เรียกร้อง 3 ข้อ
แต่ยังต้องการให้รัฐบาลและกองทัพใช้มาตรการที่เด็ดขาดรุนแรงกับฝ่ายกัมพูชาอีกด้วย
อย่างที่ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ แกนนำพันธมิตรฯและอดีตประธาน
ที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย ปราศรัยว่า
ภาคใต้เคยมีปัญหาชนกลุ่มน้อยกับมาเลเซีย ลาวมีปัญหาม้ง
แต่ก็เจรจาส่งกลับและไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องมีเอ็มโอยูอะไร
แต่ประเทศไทยกลับแสดงความอ่อนแอกับการยกเลิกเอ็มโอยู 43
ยิ่งนายอภิสิทธิ์เถียงข้างๆคูๆยิ่งชี้ให้เห็นว่าต้องมีผลประโยชน์แอบแฝงแน่นอน
เพราะมีแหล่งทรัพยากรที่ประเทศใหญ่ๆจ้องจะเอา
และเป็นประเทศมหาอำนาจทั้งสิ้น การเป็นสมาชิกยูเนสโกไม่ใช่ออกแล้วจะอดตาย
ทุกวันนี้เข้าร่วมแล้วฉิบหายมากกว่า
“พื้นที่บริเวณชายแดนไทย-พม่าน่าเป็นห่วงเช่นกัน ถ้าไม่เลิกเอ็มโอยู 43
พม่าอาจจะคิดแบบกัมพูชาในอนาคตเพื่อจะเอาดินแดนบ้าง เพราะเรามันอ่อนแอ
พวกเรามาทำหน้าที่ในวันนี้ถูกต้องแล้ว ยิ่งใหญ่กว่า 193 วันที่ผ่านมาอีก
เพราะ 193 วันไล่บุคคลและระบอบที่ชั่วร้ายออกไปแต่ไม่หมดสิ้น ดังนั้น
จะกำจัดให้หมดต้องใช้เวลา แต่การรักษาแผ่นดินไทย
วันนี้ถ้าไม่ออกมาให้มากเสียดินแดนแน่นอน”
ใครขายชาติ?
แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
กลับตั้งคำถามถึงข้อเรียกร้อง 3 ข้อของกลุ่มพันธมิตรฯว่าเป็นอันตรายต่อบ้านเมือง
และนายกรัฐมนตรีทำตามไม่ได้ สงสัยทำไมจึงยื่นข้อเสนอที่เป็นไปไม่ได้
ซึ่งฝ่ายพันธมิตรฯก็ถามกลับทันทีว่าใครกันแน่ที่ขายชาติ
ท่าทีของนายสุเทพจึงสมควรตำหนิอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะบิดเบือนอย่างร้ายกาจแล้ว
หากย้อนหลังบทบาทของนายสุเทพก็มีส่วนสำคัญในการย่ำยีหัวใจคนไทย
ยอมอ่อนข้อให้กับต่างชาติจนทำให้สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียอธิปไตย
นายสุเทพเคยระบุว่า 7 คนไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชาลึกเข้าไปถึง 1.2 กิโลเมตร
พร้อมทั้งให้ยอมรับคำตัดสินของศาลกัมพูชา ซึ่งเป็นคำพูดในทำนองเดียวกับผู้นำอื่นๆในรัฐบาล
ไม่ว่าจะเป็นนายอภิสิทธิ์ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ไม่มีกองทัพก็อยู่ไม่ได้ จึงเห็นได้ชัดเจนว่า
ข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯไม่ใช่เพื่อเจรจาและประนีประนอม
แต่ต้องการให้รัฐบาลทำตามที่เรียกร้อง จึงไม่แปลกที่จะมีการตั้งคำถาม
ถึงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯครั้งนี้ว่ามีเบื้องหลังอะไรมากกว่าที่เป็นข่าวหรือไม่
กลุ่มพันธมิตรฯต้องการให้กองทัพเข้ามามีบท บาทในการแก้ปัญหาอย่างไร แค่ไหน?
เพราะในทางปฏิบัติผู้นำกองทัพต้องทำตามคำสั่งของรัฐบาล
ยกเว้นแต่จะเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า
กองทัพต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดนี้หรือชุดไหน
ก็แก้ปัญหาชายแดนมาตามลำดับ จนท้ายสุดมาอยู่ที่เอ็มโอยู 43
ทหารก็ต้องทำตามกรอบของการพัฒนา ไม่ใช่ทหารจะไปทำอะไรใครก็ได้
ตรงไหนที่มีความชัดเจนของเส้นเขตแดนก็ไม่มีปัญหา
แต่ถ้าตรงไหนมีปัญหาจะมีสัญญาในการดูแลกัน
“ถ้าไม่รักประเทศชาติจะเป็นทหารได้อย่างไร ผมอยากจะรู้นัก
ใครอยากจะพูดอะไรต่างๆก็ตาม ให้กลับไปคิดและทบทวนดูสิว่าอะไรควรพูด ไม่ควรพูด
ที่ทหารไม่พูดเพราะพูดไปแล้วจะทำให้เกิดความเพลี่ยงพล้ำในการเจรจาพูดคุย
มีอะไรต้องมาพูดกันหมดเลยหรือ ซึ่งมันไม่ใช่ รัฐมนตรีกลาโหมก็ทำเต็มที่ กองทัพ
ก็ทำเต็มที่ แล้วท่านมาบอกว่ากองทัพบกกลัวใคร ทำไมไม่ทำ มีผลประโยชน์อะไรหรือเปล่า
ท่านเอาอะไรมากล่าวอ้างผมไม่รู้ กองทัพไม่เคยกลัวใคร ซึ่งผมไม่อยากจะพูดคำนี้
แต่ผมเป็น ผบ.ทบ. ทหารบกทั้งกองทัพมีจำนวน 200,000 กว่าคน เขาก็ดูอยู่ว่า
ผมปกป้องศักดิ์ศรีของเขาหรือเปล่า ผมก็ต้องปกป้องเขา
เพราะผมรู้ว่าลูกน้องผมเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาสูญเสียอะไรต่างๆมามากมาย ลูกเมียเดือดร้อน
ผมพูดไปก็จะหาว่ากองทัพบกทวงบุญคุณอีก และผมจะพูดอะไรได้
ผมต้องปล่อยให้ด่าอยู่ข้างเดียวหรือไง กองทัพถูกด่าข้างเดียวไม่ถูก
ผมว่าไม่เป็นธรรม ท่านต้องช่วยกองทัพ วันนี้ถ้าท่านไม่มีกองทัพ ไม่มีเจ้าหน้าที่ ไม่มีทหาร ไม่มีคนทำงาน
ท่านจะอยู่อย่างไร ท่านไปถามตัวของท่านเองก็แล้วกัน”
“เชื้ออุบาทว์” ยังอยู่
คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์เรื่องบทบาทของกองทัพกับนายสุเทพ
ซึ่งตั้งคำถามถึงข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯที่รัฐบาลทำไม่ได้นั้น
ทำให้มีหลายฝ่ายเห็นด้วยกับคำพูดของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ที่กล่าว
ก่อนจะมีการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯว่า “ความพยายามก่อการรัฐประหารยังมีเชื้อหลงเหลือ”
โดย พล.อ.ชวลิตยืนยันว่า โอกาสการทำรัฐประหารเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง
เพราะอีกฝ่ายต้องการยื้ออำนาจต่อไป จึงมีการปล่อยข่าวรัฐประหารเพื่อโยนหินถามทาง
แม้วันนี้จะทำได้ยากเพราะประชาชนตื่นตัว แต่ต้องร่วมกันป้องกันไม่ให้เกิดรัฐประหาร
ซึ่งมีทางเดียวคือต้องให้มวลชนตื่นตัว ใครคิดเปลี่ยนแปลงในทางไม่ถูกต้องประชาชนต้องไม่ยอมรับ
ทำไมต้องรัฐประหาร?
การออกมาเตือนเรื่องการปฏิวัติรัฐประหารของ พล.อ.ชวลิต
จึงไม่ใช่การปล่อยข่าวหรือโกหกตอแหลอย่างไร้สาระเหมือนนักการเมืองมากมายขณะนี้
แต่การปฏิวัติรัฐประหารมีความเป็นไปได้ตลอดเวลาสำหรับการเมือง
ตราบใดที่บ้านเมืองยังอยู่ในมือของกลุ่มผู้มีอำนาจนอกระบบและผู้นำกองทัพ
ขณะที่นักการเมืองยังเป็นแค่ “นักเลือกตั้ง” และ “พวกลากตั้ง” เข้ามา
ที่สำคัญนายอภิสิทธิ์ก็เหมือนน้ำท่วมปากกับกระแสข่าวการทุจริตคอร์รัปชันในรัฐบาล แม้จะไม่มี
ใบเสร็จแต่โครงการมากมายก็มีหลักฐานส่อว่าไม่โปร่งใส โดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาล
แต่นายอภิสิทธิ์ก็ไม่กล้าแตะต้องหรือเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหาเพียง
เพื่อไม่ให้รัฐบาลล้มหรือตัวเองยังเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป
ซึ่งนายสนธิได้นำมาโจมตีนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด
อย่างการประมูลข้าวมีนักการเมืองได้ประโยชน์หลายพันล้านบาท
การอนุญาตนำเข้าน้ำมันปาล์ม
เพื่อให้นักการเมืองของพรรคเก่าแก่ขนน้ำมันปาล์มเถื่อนเข้ามาได้และมีกำไรมากขึ้น
การตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยข้ามลำดับอาวุโสถึง 50 อันดับ
การแต่งตั้งตำรวจระดับผู้กำกับก็มีการตั้งโต๊ะในทำเนียบรัฐบาลเก็บเงินหัวละ 3-5 ล้านบาท
แต่ขณะเดียวกันก็มีคำถามว่า
พรรคการเมืองใหม่จะมีที่ยืนในเวทีการเมืองหรือไม่
เพราะหลังจากการเลือกตั้ง ส.ก.-ส.ข. ในกรุงเทพมหานคร
ที่พรรคการเมืองใหม่แจ้งเกิดไม่ได้เลยแม้แต่ที่นั่งเดียว
การออกมาของพันธมิตรฯครั้งนี้มีเบื้องหลังเพื่อหาที่ยืนหรือไม่?
บทบาทของพันธมิตรฯจะเป็นอย่างไรต่อไปหากมีการเลือกตั้ง
แต่ถ้ามีการปฏิวัติรัฐประหารก็เท่ากับว่าทุกพรรคการเมืองถูกบอนไซเหมือนกันหมด
หรืออาจถูกล้างไพ่ใหม่ทั้งหมด
หรือการออกมาของพันธมิตรฯ
ก็เพื่อปูพรมแดงให้ทหารเดินออกมาปฏิวัติรัฐประหารเหมือน 19 กันยายน 2549 อีกหรือไม่?
ปฏิวัติ...นะจ๊ะ!
ในขณะที่กองทัพก็มักจะอ้างความมั่นคง การหมิ่นสถาบัน และข้อหาฉกาจฉกรรจ์
เพื่อกำจัดนักการเมืองชั่วที่คอร์รัปชันทุกครั้งในการยึดอำนาจ
แต่ไม่เคยพูดถึงความโปร่งใส การจัดซื้อในกองทัพ งบลับทหาร
หรือแม้แต่การแย่งชิงอำนาจกันเอง
โดยเฉพาะนับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ซึ่งรัฐบาลและนักการเมืองต่างเอาอกเอาใจกองทัพเป็นพิเศษ
ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์นับแสนล้าน
หรืองบประมาณของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่ไม่ยอมเปิดเผย
นอกจากนี้ที่ผ่านมายังมีการกล่าวหา
เรื่องการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆที่ไม่โปร่งใสหลายโครงการ
ไม่ว่าจะเป็นเรือเหาะที่กลายเป็นเรือเหี่ยวที่บินไม่ได้
ตำนานไม้ล้างป่าช้า-จีที 200
การจัดซื้อรถหุ้มเกราะจากยูเครน
หรือการจัดซื้อรถยุทธวิธี (ปิกอัพ) กันกระสุนจำนวน 300 คัน ราคาคันละ 2.5 ล้านบาท
ที่ยังฝุ่นตลบอยู่
ดังนั้น การปฏิวัติรัฐประหาร
จึงอาจไม่ใช่แค่การปัดกวาดนักการเมืองและพรรคการเมืองเน่าๆออกจากระบบเท่านั้น
แต่ยังอาจเป็นการจัดสรรผลประโยชน์ต่างๆภายในกองทัพและกลุ่มผู้มีอำนาจต่างๆให้ลงตัว
แถมยังสามารถกวาดขยะของกองทัพเองซุกไว้ใต้พรมสีเหลืองอร่ามได้อีกด้วย
นายอภิสิทธิ์จึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางไม่ให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร
เพื่อจะอยู่ในอำนาจต่อไปให้นานที่สุด แม้จะเป็นผู้นำที่สั่งการอะไรไม่ได้ก็ตาม
แต่อย่างน้อยนายอภิสิทธิ์ยังสามารถเดิน สายสร้างภาพรำป้อ เป็น “พระเอกลิเก”
ขวัญใจพ่อยกแม่ยก ต่อไปได้เรื่อยๆ...
จนกว่าจะเกิดการปฏิวัติ...นะจ๊ะ!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 296 วันที่ 29 มกราคม - 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
หน้า 16 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=9495