ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Sunday, 4 July 2010

รัฐบาลขาพัน ระวังล้มทั้งยืน

ที่มา ข่าวสด


กลายเป็นจุดขายไปอีกแบบ

กับชุดเครื่องแบบของนายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปช.

ที่สวมเสื้อยืด นุ่งกางเกงขาสั้น ลากรองเท้าแตะ ออกจากเรือนจำมากรอกใบสมัครลงเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 6 กทม. ในนามพรรคเพื่อไทย

แถมหน้าอกเสื้อเขียนข้อความ"เสรีภาพ เสมอภาค ประชาธิปไตย"ด้วยปากกาเมจิก สลักลายเซ็นกลุ่มแกนนำนปช.เพื่อนร่วมกรงขัง

แค่รูปลักษณ์ภายนอกก็แสดงถึงความแตกต่างกับนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ คู่แข่งจากพรรคประชาธิปัตย์ชนิดคนละสุดสายปลายขั้ว

ครั้งนี้ถึงจะเป็นเลือกตั้งแค่เขตเดียว ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสภาโดยตรง

แต่หลายคนมองตรงกัน ว่าเป็นการเลือกตั้งซ่อมที่คนไทยให้ความสนใจจับตามากที่สุด เพราะเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกภายหลังเหตุการณ์ 19 พ.ค. 53

จะเป็นเครื่องบ่งบอกได้ในระดับหนึ่งว่าคนกรุงรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

มองกันตามสูตรไม่ว่าการเลือกตั้งทั่วไปหรือเลือกตั้งซ่อมบางเขต ผู้สมัครพรรครัฐบาลมักเป็นฝ่ายได้เปรียบผู้สมัครจากพรรคที่ไม่ใช่รัฐบาล

ครั้งนี้ก็ไม่แตกต่าง นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ มีสถานะความได้เปรียบเหนือนายก่อแก้ว พิกุลทอง

อย่างไรก็ตามสิ่งที่รัฐบาลต้องระมัดระวังคือการใช้เงื่อนไขความได้เปรียบที่ตนเองมีอยู่แบบเกินความพอดี กลายเป็นการเอารัดเอาเปรียบ

เพราะถ้าสังคมรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันเมื่อไหร่

อาจเกิดกระแสตีกลับได้เมื่อนั้น



ในบรรยากาศการเลือกตั้งตามกติกาประชาธิปไตย

พ.ร.ก.ฉุกเฉินกำลังเป็นปัญหา"ดาบสองคม"สำหรับรัฐบาล

ด้านหนึ่งรัฐบาลใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นอาวุธฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามอย่างเมามัน

แต่การคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้และมีแนวโน้มจะต่ออายุออกไปอีกนั้น แสดงให้เห็นด้วยเหมือนกันว่ารัฐบาลยังกุมสภาพการเมืองไว้ไม่ได้

รัฐบาลอ้างว่าพ.ร.ก.ฉุกเฉินยังจำเป็นเนื่องจากการเคลื่อนไหวในลักษณะเป็นภัยต่อความมั่นคง รวมถึงการก่อวินาศกรรมสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมืองยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง

โดยยกตัวอย่างกรณีวางระเบิดพรรคภูมิใจไทย และเหตุยิงถล่มคลังน้ำมันในกรมพลาธิการทหารบกด้วยจรวดอาร์พีจี ที่หลังเกิดเหตุรัฐบาลพยายามอย่างมากที่จะลากโยงพยานหลักฐานเข้าหากลุ่มเสื้อแดง

แต่ความพยายามดังกล่าวก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเต็มไปด้วยเงื่อนงำข้อพิรุธมากมาย

ทั้งการจับกุมคนร้ายวางระเบิดพรรคภูมิใจไทยที่ดูเหมือนง่ายดายและรวดเร็วเกินไป รวมถึงคดียิงถล่มคลังน้ำมันซึ่งภายหลังปรากฏว่าเป็นถังน้ำมันเปล่า

ตรงจุดนี้เองที่เป็นช่องโหว่ให้ฝ่ายตรงข้ามหยิบขึ้นมาโจมตี

สังคมเองก็ตั้งข้อสงสัยเช่นกัน ว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของรัฐบาลเพื่อหาข้ออ้างในการยืดอายุพ.ร.ก.ฉุกเฉิน สานต่อปฏิบัติการขุดรากถอนโคนกลุ่มเสื้อแดง

พร้อมกับดิสเครดิตคู่แข่งช่วงเลือกตั้งซ่อมหรือไม่

การที่หลายคนไม่ยินดียินร้ายกับข้อมูลเป้าหมายก่อวินาศกรรม 68 จุด

หรือแม้แต่ข้อมูลการลอบปองร้ายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ที่ฝ่ายรัฐบาลปล่อยออกมา

ก็พอสะท้อนได้ว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยในสังคมไม่ให้ความเชื่อถือข้อมูลที่ออกมาจากรัฐบาลหรือแม้แต่ตัวรัฐบาลเองก็ตาม

ความไม่เชื่อถือนี้น่าจะเป็นผลมาจากพฤติกรรมรัฐบาลที่อาศัยชั้นเชิงข้อกฎหมายเล่นงานฝ่ายตรงข้ามจนเกินขอบเขต

ตลอดจนการโกหก บิดเบือนข่าวสารและข้อมูลข้อเท็จจริงในเหตุการณ์เดือนพ.ค.53

เหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่ย้อนมาทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลโดยไม่รู้ตัว



ภายหลังเหตุการณ์ 19 พ.ค. รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก

นายอภิสิทธิ์ พยายามจะผลักดันแผนปรองดอง จัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเหตุการณ์สลายม็อบเสื้อแดงขึ้นมา ควบคู่ไปกับการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ

แต่ผ่านไป 2-3 สัปดาห์ภาพก็ยังเบลอๆ จับทิศทางการทำงานไม่ได้

เสียงเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงถึงความจริงใจในเบื้องต้นด้วยการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินเริ่มดังกระหึ่มไปทุกวงการ

ทั้งยังถูกตั้งข้อสงสัยในเรื่องงบประมาณ 600 ล้านบาท ที่รัฐบาลอนุมัติให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่

เช่นเดียวกับคำถามเรื่องนโยบายประชานิยม น้ำประปา-ไฟฟ้า-รถเมล์ฟรีแบบถาวร ที่นายกฯอภิสิทธิ์ เพิ่งออกมาประกาศถึงความเป็นไปได้เมื่อไม่กี่วันก่อน

หรือการเดินหน้าแผนขึ้นเงินเดือน จัดโบนัสพิเศษเป็นของขวัญปีใหม่ให้ข้าราชการ

ซึ่งนอกจากเป็นการหวังผลระยะยาวซึ่งหมายถึงการกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งในสมัยหน้า ยังถูกมองว่าเป็นการหวังผลทางการเมืองระยะสั้น คือการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 6 กทม.

ที่พรรคประชาธิปัตย์จะแพ้ไม่ได้อีกด้วย

นายอภิสิทธิ์ ปฏิเสธว่านโยบายดังกล่าวไม่ใช่ประชานิยมแต่เป็นนโยบายรัฐสวัสดิการ

แต่ในสายตานักวิชาการทีดีอาร์ไอ และนักเศรษฐศาสตร์ทั่วไป กลับมองว่านโยบายรัฐสวัสดิการฉบับอภิสิทธิ์นี้ อาจสร้างภาระงบประมาณให้ประเทศ

ยิ่งกว่าประชานิยมฉบับทักษิณด้วยซ้ำ

กระแสการเมืองต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังวันที่ 19 พ.ค. ชี้ว่ารัฐบาลกำลังสอบตกความน่าเชื่อถือ

คดีความเกี่ยวกับผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงล้วนแต่มีพิรุธข้อสงสัย ไม่ว่าคดีก่อการร้าย ล้มล้างสถาบัน หรือคดีก่อวินาศกรรมต่างๆ

ตรงข้ามกับคดีความที่คนในซีกฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นไปอย่างเนิบนาบเชื่องช้า เช่น คดียึดสนามบิน คดีสั่งฆ่าประชาชนเดือนพ.ค. คดียุบพรรค ฯลฯ

ความคับข้องใจเหล่านี้เมื่อบวกรวมกับพฤติกรรมการส่อทุจริตโครงการรายกระทรวง ซึ่งถูกเปิดโปงมากขึ้นทั้งจากฝ่ายค้านและคนในรัฐบาลที่จ้องเสียบสกัดกันเอง

ในสถานการณ์ดังกล่าวถึงรัฐบาลจะฝืนยืนอยู่ต่อไปได้

แต่โอกาสที่ขาจะพันกันเองล้มทั้งยืนก็มีความเป็นไปได้พอกัน