ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Monday, 26 July 2010

พนิชชนะซ่อมเขต6 ถ้าแพ้สิน่าแปลกใจ!

ที่มา บางกอกทูเดย์


น่าคิด...คนที่เคยมาใช้สิทธิ์หายไปไหน
ทันทีที่นายนราธิป ภัทรวิมล ผอ.เขตคลองสามวาในฐานะประธานกกต. เขต6 แถลงผลการเลือกตั้งซ่อมส.ส.กทม. เขต6 อย่างไม่เป็นทางการว่า ในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ มีผู้มาใช้สิทธิ์ทั้งหมด 191,598 คนจากผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด 386,660 คนคิดเป็นร้อยละ 49.55 เป็นบัตรดี180,432 ใบ คิดเป็นร้อยละ 94.17 บัตรเสีย2,931 ใบคิดเป็นร้อยละ 1.53 บัตร บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 8,235 ใบคิดเป็นร้อยละ 4.3

ผลการลงคะแนนปรากฏว่า อันดับ 1 ได้แก่นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ได้คะแนน 96,480 คะแนนอันดับ 2.นายก่อแก้ว พิกุลทอง ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ได้ 81,776 คะแนนอันดับ 3.นายนพดล ไชยฤทธิเดช จากพรรคชาติสามัคคี ได้ 709 คะแนนอันดับ 4.นายอนุสรณ์ สมอ่อน จากพรรคความหวังใหม่ ได้ 684 คะแนน5.นายกิจณพัฒน์ สามสีลา จากพรรคประชาธรรม ได้ 405 คะแนนและ 6. นายชูชาติ พิมพ์กา จากพรรคแทนคุณแผ่นดิน ได้ 378 คะแนน

แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ และนายพนิช จะมีการดีใจในชัยชนะอย่างเห็นได้ชัด แต่อีกมุมหนึ่งของสัมคมไทย ก็เกิดคำถามตามมามากมาย กับการชนะแบบไม่ได้ชนะขาดลอยในครั้งนี้

ทั้งๆที่นายพนิชเป็นตัวแทนของรัฐบาล กุมอำนาจรัฐ กุมอำนาจ พรก.ฉุกเฉินอยู่ในมือ และได้รับแรงหนุนสารพัดจากขั้วอำนาจที่หนุนหลังอยู่ในปัจจุบัน รวมไปถึงกระทั่งอำนาจทหารด้วย

ในขณะที่นายก่อแก้ว ถูกจองจำอยู่ในคุก เพราะไม่ได้รับการอนุญาตให้ประกันตัวออกมาหาเสียงอย่งจริงจังแต่อย่างใด แต่สุดท้ายนายพนิชก็ยังไม่สามารถชนะขาดลอยได้

ที่สสำคัญก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์ใช้กลยุทธ์หาเสียงเรียกร้องให้มีการออกมาแสดงพลังกันมากๆ โดยให้เหตุผลว่า ถ้าผู้มีสิทธิออกเสียงมาใช้สิทธิกันน้อย พรรคประชาธิปัตย์จะเสียเปรียบ อ้างว่าจะมีคะแนนจัดตั้ง

แต่ในความเป็นจริงการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้มีผู้มาใช้สิทธิ์ต่ำกว่าการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 50 เป็นอย่างมาก เนื่องจากในครั้งดังกล่าวมีผู้มาใช้สิทธิ์ 262,829 คน คิดเป็นร้อยละ 72.77 แต่ครั้งนี้มาใช้สิทธิแค่ร้อยละ 49.55

ผู้ที่เคยมาใช้สิทธิกว่าร้อยละ 22 หายไปไหน เกิดอะไรขึ้น???

นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. ในฐานะผู้อำนวยการเลือกตั้งซ่อมเขต6 พรรคเพื่อไทย แถลงภายหลังรับทราบผลเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการว่า พรรคยอมรับมติประชาชน ขอบคุณทุกคะแนนเสียงที่ประชาชนมอบให้ ไม่ว่าผลคะแนนออกมาเท่าใด ต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชน และเหตุที่เราแพ้และได้นำมาวิเคราะห์ว่าส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะรัฐบาลยังคงพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีบรรยากาศเหมือนการเลือกตั้งทั่วไป

เมื่อวันที่23-24 ก.ค. มีกลุ่มบุคคลแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ติดตามทีมงาน สก.และสข.รวมทั้งทีมผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย และหลายคนที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเมื่อวันที่25ก.ค. แต่กลับพบว่าได้ถูกใช้สิทธิล่วงหน้าไปแล้ว มีการทุจริตโดยแจกสิ่งของในเขตบึงกุ่ม

นายวิชา กล่าวว่า นอกจากนี้ยังพบว่ามีเจ้าหน้าที่แต่งกายเหมือนคอมมานโด ขึ้นไปเคาะประตูในแฟลตต่างๆ เช่น เคหะรามอินทรา ซึ่งเราได้ทำหนังสือแจ้งไปยังกกต.และบชน.ไปแล้ว และยังพบว่าในช่วงเวลานอกจากเวลาหาเสียงเมื่อเย็นวันที่24ก.ค.สถานีวิทยุคลื่น 103 ของกรมประชาสัมพันธ์ พูดเป็นภาษาอีสาน ประกาศว่าอย่าไปเลือกพวกเผาบ้านเมือง พวกก่อการร้าย

เช่นเดียวกับความพยายามของรัฐบาลที่ใช้สื่อรัฐเป็นเครืองมือ โดยใช้ทีวีช่อง 11 ได้หยิบยกนำกรณีผู้เสียชีวิตจากกรณียาเสพติด บอกว่าเป็นการกระทำสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งการใช้อำนาจรัฐ อำนาจท้องถิ่น ที่เรารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมมาโดยตลอด

ที่สำคัญการที่มีการบอกว่าหากเลือกนายก่อแก้ว ก็ไม่มีผลเพราะว่าเป็นผู้ต้องขังในข้อหาก่อการร้าย ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ออกมารับใช้ประชาชน ซึ่งตรงนี้มีผลต่อการเลือกตั้งเป็นอย่างมาก

นายวิชาญ กล่าวอีกว่า การวิเคราะห์ในฐานคะแนนเรายังอยู่ในฐานที่ไม่เสียเปรียบออกมาอย่างน่าเกลียด ยังถือว่าเป็นความพอใจ

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอพูดในสองสถานะคือเป็นหนึ่งในทีมงานที่ได้รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งและในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมชีวิต อุดมการณ์กับนายก่อแก้ว พวกเราเป็นลูกผู้ชาย ไม่ว่าผลออกมาอย่างไร เรายอมรับผลเลือกตั้ง ทุกคะแนนที่ได้มอบถือให้เป็นความยิ่งใหญ่ แม้ว่าผู้สมัคร ไม่มีโอกาสเพียงนาทีที่จะมาพบกับประชาชน การใช้อำนาจรัฐต่างๆ ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบต้องว่าไปตามกฎหมาย แต่ชี้ให้เห็น เราต้องยอมรับ

“บ้านที่มีรั้วสูงมีการใช้กลไกดีเอสไอ มาปั้นพยานเท็จ โยงมาถึงการเลือกตั้งครั้งนี้ สิ่งที่ประชาชนที่ได้รับจึงเป็นเพียงมุมเดียวเท่านั้น เราจึงไม่มีโอกาสทำความจริงให้ปรากฏในส่วนนั้น ทำได้เพียงชี้แจงในที่ที่เราไปตั้งเวทีปราศรัย ทำให้ประชาชนได้เข้าใจข้อเท็จจริง ซึ่งตรงนี้ถือว่าสำคัญมาก แต่ก็ยังทำได้เพียงแค่มุมเดียว แต่อย่างไรก็ตามต้องขอขอบคุณประชาชนเขตเลือกตั้งที่6 ในทุกคะแนนเสียง แม้ไม่มีผลถึงขั้นให้ได้รับชัยชนะ แต่จากความยิ่งใหญ่ครั้งนี้ จะนำไปบอก นายก่อแก้ว ว่าประชาชนมอบความยิ่งใหญ่ให้ ในชีวิตมนุษย์มีแพ้ชนะเป็นธรรมดา เป็นสัจธรรม แต่สำหรับการต่อสู้เพื่อไทยยังเดินหน้าต่อไป ผลเลือกตั้งเป็นบทเรียนที่มีคุณค่า จะได้รู้ว่าครั้งหน้าจะปรับขบวนอย่างไร เมื่อผลออกมาก็ต้องน้อมรับ แต่เตรียมการต่อสู้ครั้งใหม่ ชีวิตจะไม่หยุดนิ่งการต่อสู้จะมีอยู่ในครั้งต่อไป

ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) วิเคราะห์ว่า ในแง่ของพรรคเพื่อไทยถึงแม้ว่าจะแพ้ แต่แพ้ไม่มาก ทำให้มีกำลังใจมากขึ้นว่าคะแนนพื้นฐานในเขตกรุงเทพมหานครยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ ก็เป็นกำลังใจที่จะให้ทำงานในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อรอการเลือกตั้งครั้งต่อไป แสดงว่าการส่งนายก่อแก้ว พิกุลทอง และ วิธีการหาเสียงรณรงค์ประสบความสำเร็จ

ส่วนในมุมของพรรคประชาธิปัตย์ ถึงแม้ว่าจะชนะ แต่ชนะไม่มาก ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งต่อไปต้องทำงานหนักมากขึ้น ในฐานะรัฐบาลก็จะต้องทำให้เห็นผลงานที่ชัด เพื่อดึงคะแนนเสียงให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นจะไม่ปลอดภัยสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป

"ผลทางการเมืองปัจจุบันคงไม่มากเท่าไหร่ แต่จะมีผลต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป ได้ใจมากกว่า เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ สองฝ่ายทุ่มทรัพยากรจำนวนมาก เพื่อที่จะเอามาเป็นปัจจัยสำคัญ เป็นการปลอบขวัญกำลังใจสำหรับอนาคต คนเสื้อแดงอาจมีส่วนที่ดีใจ รวมพลรวมตัวก็มีความเป็นไปได้ ถือว่าในพื้นที่กรุงเทพฯพรรคเพื่อไทยหรือการเคลื่อนไหวที่ผ่านมายืนยืนยันได้ว่าแท้จริงแล้วประชาชนยังสนับสนุนอยู่ "

รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ รองศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่า เชื่อว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องอ้างชัยชนะทั้งคู่ รัฐบาลก็จะแสดงให้เห็นว่านโยบายได้รับการตอบรับ ในขณะที่เพื่อไทยก็จะอ้างว่านี่ขนาดถูกจำกัดอะไรหลายอย่างยังได้ขนาดนี้ เป็นการแสดงออกถึงการระดมคนเพื่อเป็นการต่อสู้ในระดับชาติให้เห็นถึงความชอบธรรมของแต่ละฝ่าย คงจะเป็นสัญญาณทั้งสองฝ่าย คือ เสื้อแดงเป็นการระดมพล สรรพกำลังการต่อสู้ ถือว่าเป็นยกใหม่ ส่วนรัฐบาลเองก็คิดว่าคงไม่นิ่งนอนใจ เพราะคนที่สนับสนุนคนเสื้อแดงยังมีอยู่จำนวนมาก แม้ว่าจะชนะ แต่ก็ชนะไม่มากนัก

อย่างไรก็ตามหลายๆฝ่ายยังเห็นว่า การที่คนกว่า 40% ไม่ออกมาใช้เสียง น่าจะเป็นการสะท้อนสถานการร์การเมืองในปัจจุบันได้ดีกว่าผลการเลือกตั้ เพราะจริงๆแล้วผลการเลือกตั้งครั้งนี้ต้องถือว่าเป็นไปตามคาด เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์กับพื้นที่กรุงเทพ เป็นความได้เปรียบมาตลอด ซ้ำกลไกของรัฐและทหาร จะย้ำความเชื่อในประเด็นที่ว่า พรรคเพื่อไทยมีจุดยืนชัดเจนในการสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ซึ่ง นปช.ถูกตั้งคำถามในเรื่องความรุนแรง จึงกลายเป็นจุดอ่อนของพรรคเพื่อไทย

เพราะเรื่องของความรุนแรงนั้น ถือเป็นจุดอ่อนสำคัญในทางการเมืองมาตลอด พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตผู้บัญชาการทหารบก แม้ขณะนั้นจะมีอำนาจสูงมาก จนขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่สุดท้ายก็อยู่ในตำแหน่งไม่ได้ เมื่อมีความรุนแรง มีประชาชนเสียชีวิต

เช่นเดียวกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หนึ่งในแกนนำม็อบพันธมิตร ที่ถูกข้อหาพาคนไปตายในช่วงพฤษภาทมิฬ ปี 2535 ก็ไม่สามารถจะเข้ามาบนถนนการเมืองได้อีก มามีโอกาสก็เมื่อเข้าไปเป็นแกนนำให้กลุ่มม็อบพันธมิตรเท่านั้น

ดังนั้นผลเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ยังไม่ได้สะท้อนว่าพรรคประชาธิปัตย์จะต้องได้รับเสียงข้างมากในสภาฯในอนาคต เพราะโอกาสที่พรรคเพื่อไทยแม้ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้าน แต่ก็น่าจะยังได้เสียงข้างมากในสภาอยู่ดี

ดังนั้นการที่นายพนิช ออกมากล่าวอ้างว่าชัยชนะที่เฉียดฉิวครั้งนี้ เป็นสิ่งบอกเหตุว่าคนไทยต้องการให้บ้านเมืองกลับสู่ปกติ

รวมทั้งการที่มีการจัดฉากให้นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โทรศัพท์เข้ามาแสดงความยินดีระหว่างที่อยู่กับสื่อมวลชนนั้น อาจจะไม่ได้เป็นภาพบวกอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์คิด

เพราะคำถามที่ว่า ชนะน่ะไม่แปลก เพราะได้เปรียบซะขนาดนี้... แต่มันน่าภาคภูมิใจจริงๆหรือ

นี่ต่างหากที่นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ควรจะต้องทบทวน ว่ามาถูกทางจริงๆหรือ???

เช่นเดียวกับนายพนิชก็ควรที่จะต้องรู้อยู่แก่ใจ ว่าลึกๆแล้วชนะเพราะอะไร!!!