ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Thursday, 24 June 2010

"อีดี้จวบ"ฟันธงการเมืองเปลี่ยน สึนามิจะกวาดไปทั้งหมด ผมหยุดแล้ว ขอ"แบ็ค ทู เบสิค" เล่นบทMatchmaker

ที่มา มติชน

การเมือง เหรอ พูดยาก เขียนลำบาก ครับ

"ประจวบ ไชยสาส์น" เป็นรัฐมนตรีมาแล้ว 7 กระทรวง หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เขาล้างมือในอ่างทองคำ คืนสู่สามัญ กลับไปทำธุรกิจ กลับไปทำกิจกรรมเพื่อสังคม


วันนี้ ประจวบ สวมบท "Matchmaker" เชื่อมการลงทุนในอินโดจีน สัปดาห์ที่แล้ว เขาเปิดสายการบินโซลาร์ เอวีเอชั่น บินเชื่อมกรุงเทพ -ร้อยเอ็ด


ชั่วโมงนี้ "อีดี้จวบ"มองการเมืองเพียงสั้นๆ ว่า พูดยาก เขียนลำบาก


แต่บนความยากและลำบาก อดีตผู้แทนการค้าไทย มีคำอธิบาย ที่นักการเมืองส่วนใหญ่ คิดไม่ได้ เหมือน คนชื่อ ประจวบ ไชยสาส์น


ล่าสุด ประจวบ ลดน้ำหนักจาก 110 กิโลกรัม เหลือ 90 กิโลกรัม เปิดบ้านย่านประดิพัทธิ์ ให้สัมภาษณ์ มติชน ออนไลน์ ตลอดบ่าย


@สุขภาพยังแข็งแรงดีนะครับ


ก็รู้สึกสบายขึ้น(นะ) เพราะผมอยู่ในช่วงลดน้ำหนัก โดยออกกำลังกายก็ส่วนหนึ่ง แต่สูตรจริงๆ ทั้งหมดมี 6 ข้อ คือ 1. กินให้เป็น ในสัดส่วนที่ร่างกายเรารับได้ คือ เปลี่ยนพฤติกรรมการกินทั้งหมด จากที่เคยกินเนื้อดิบ กินซกเล็ก สมัยออกพื้นที่ลงหาเสียง หมู เห็ด เป็ด ไก่ กินหมด ช่วงหลังก็เปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนนิสัย หันมากินผักกับปลา


แต่ก็มีคนเตือนว่า อย่างนี้ไม่ได้ เดี๋ยวกระดูกผุหมด เขาเตือนให้กินเนื้อเดือนละครั้ง ผมก็กล้ำกลืนกินเนื้อเดือนละครั้ง จาก 110 กิโลกรัม พฤษภาคมปีที่แล้ว ปัจจุบันผมเหลือ 90 กิโลกรัม


ข้อ 2. ขับถ่ายให้เป็นเวลา 3. นอนให้หลับ 4. บริหารอารมณ์ให้นิ่งไม่ยินดียินร้าย ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง 5. ออกกำลังกายให้เหงื่อซึม อายุเกิน 60 ต้องออกกำลังกายให้เหงื่อซึม เพราะคนอายุเยอะถ้าออกกำลังกายเหงื่อโชกมีโอกาสน็อคได้ เช่น เดิน ตีกอล์ฟ ก็โอเค ผมก็ตีอาทิตย์ละ 2 ครั้ง

@ มีเป้าหมาย จะลดอีกกี่กิโล


หมอบอกว่าอยากให้ลงถึง 80 กิโล ก็พอ เพราะปี 2535 สมัยเหตุการณ์รสช. เคยลดจาก 110 เหลือ 70 กิโลกรัม มาแล้ว ก็ใช้สูตรนี้ด้วย แต่ช่วงนั้นอายุยังไม่มาก ก็ออกกำลังกายได้มาก ช่วงนั้นหมอบอกเคล็ดลับง่ายๆ เลยว่า กินเท่าไหร่ให้เอาออกมากกว่าที่กิน โดยการออกกำลังกายนั่นเอง

@ อะไรที่ทำให้คุณนิ่งได้


มีสูตรอีกข้อหนึ่งก็คือ ทำงานให้สังคมบ้าง ไม่ใช่ทำแบบทุ่มสุดตัวนะ ตอนนี้ก็ออกงานสังคม ที่ออกประจำตอนนี้ก็คือไปร่วมกับ “สมาคมทันตแพทย์เอกชน “ ไปทำฟันให้ชาวบ้านฟรี เราก็มีส่วนไม่มาก แค่อำนวยความสะดวก หารถรา อาหาร และค่าจ่ายค่าโรงแรม ค่าที่พัก ก็ตระเวนไปตามจังหวัดต่างๆ ทั่วภูมิภาค

@ การทำกิจกรรมเพื่อสังคม ทำให้ใจคุณนิ่งขึ้น


มันทำให้จิตใจเราดีขึ้น เพราะเห็นสภาพชาวบ้านที่สุขภาพย่ำแย่ ตอนนี้ก็กำลังหาพรรคพวก สาขาอื่น เช่น เอาหมอภูมิแพ้ ไปรักษาชาวบ้าน

@ คุณกำลังสร้างเครือข่ายเพื่อสังคมหรือ อย่างไร


ก็ที่เราเรียก CSR (Corporate Social Responsibility) คือ ทำมูลนิธิไชยสาสน์เพื่อสังคม ตัว C ก็คือ ไชยสาส์น Social Responsibility

@ หมายความว่า วางมือทางการมือไปแล้ว แล้วหันมาทำ CSR


มันน่าจะมีประโยชน์มากกว่า เพราะการเมืองทำมาเยอะแล้ว ตอนนี้การเมืองไม่อยากเข้าไปยุ่ง ก็ให้ลูกทำ ตอนนี้เราพยายามขีดเส้นเดินงานเพื่อสังคม สำหรับมูลนิธิไชยสาส์น ตั้งมาปีที่ 6 แล้ว พออายุ 60 ผมก็ตั้งมูลนิธินี้ขึ้นมา ก็มีพรรคพวกมาช่วย ให้ทุนนักศึกษาพันกว่าทุน

@ คุณตั้งใจล้างมือในอ่างทองคำ ไม่ยุ่งกับกับการเมือง หรือรอเวลาที่เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง


เราต้องเข้าใจว่าสังคมเปลี่ยนไปเยอะ คนวัยผมหรือมากกว่านั้นตามสังคมไม่ทันแล้ว เพราะสังคมมันคนละยุคกัน โดยเฉพาะแนวความคิด ทัศนคติ ภาพพจน์ คนรุ่นใหม่เขาไม่รับ คือคล้ายเป็นเรื่องความคิดที่ต่างยุคต่างสมัย ต่างสปีดกัน

คนอายุ 70 กว่า เมื่อก่อนนี้โอกาสดีที่สุดคือ ไปเรียนต่างประเทศ กลับมาก็ยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น แต่เด็กทุกวันนี้ กระบวนการเรียนรู้มันหลากหลาย จนเราตามไม่ทัน เมื่ออะไรที่อยู่ในสมองของเด็กรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า ถ้าเป็นซอฟแวร์มันเป็นคนละระบบกัน ฉะนั้น สิ่งสำคัญคือ ให้เด็กรุ่นใหม่มีบทบาทมากขึ้น อย่างลูกชายต่อพงษ์(ไชยสาส์น) หรือจักรพรรดิ (ไชยสาส์น ) เขาก็เติบโตมาในสังคมอีกแบบ อย่างมากเขาก็จะมาขอคำปรึกษา


นี่ถือว่าเป็น social change ประชาธิปไตยเป็นวัฒนธรรมทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมใดๆ ก็แล้วแต่ ต้องมีกระบวนการ กระบวนทัศน์และเวลา


เขาบอกว่า ในศตวรรษใหม่ จะใช้เวลา 100 ปี แต่ก่อนหน้านั้น 200-300 ปี วัฒนธรรมถึงจะเปลี่ยนกว่าจะปลูกเมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตยขึ้นมา


อย่างผู้หญิงในอังกฤษใช้เวลา 300 ปีกว่าจะมีสิทธิ์เลือกตั้ง ของเราปุ๊บปั๊บได้มาพร้อมกัน ถือเป็นการเรียนลัด ผมบอกว่า 2575 ครบ 100 ปี วัฒนธรรมทางการเมืองจะเปลี่ยนไป แต่จะเปลี่ยนยังไง อันนี้จะเป็นวิชั่น ถ้าเราสามารถมองเห็นได้ว่า 22 ปี ข้างหน้าจะครบ 100 ปีของการเปลี่ยนแปลง จากระบอบหนึ่งสู่อีกระบอบหนึ่ง ระบอบใหม่ก็จะต้องพยายาม สร้างความเป็นตัวเป็นตนขึ้น

@ คุณรู้ทันความเปลี่ยนแปลงก่อน จึงถอยตัวออกมา แต่ขณะเดียวกันคนรุ่นคุณก็อยู่ในสภาอีกเยอะ

แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยมีบทบาท ส่วนใหญ่นั่งเป็นพระอันดับอยู่ข้างหลังเสียมากกว่า เพราะเอาเข้าไปก็สู้เด็กไม่ได้ ทฤษฎีอดัม สมิธ ของไตรรงค์ (สุวรรณคีรี) กับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์อันใหม่ มันคนละทฤษฎี แต่ก็ดีที่อย่างน้อยๆ มีคนเป็นหลัก

อย่างพี่ฑูรย์ (ไพฑูรย์ แก้วทอง ) อายุ 74 แล้ว ผมก็บอกว่า อย่าไปคิดมากเลยพี่ อย่างนี้แหละ ถ้าเราไม่เข้าไป เขาก็ไม่เอาเราออก ถ้าเราไม่เข้าจะเอาออกได้ยังไง อย่างเรา ไม่มีใครเอาเราออก เพราะเราไม่เข้าไง (หัวเราะ)


ทุกวันนี้ชีวิตผมถึงสนุก เพราะทำอะไรหลายอย่าง นอกจากงานสังคมแล้ว ผมยังทำธุรกิจมากมาย หลักของผมก็คือ ”แบ็ค ทู เบสิค” ผมทำธุรกิจก่อนเข้าการเมืองตั้งแต่ปี 2518 ทำมา 9 ปี ด้านการส่งแรงงานไปต่างประเทศ พอเข้าการเมือง เราก็หยุด


ผมเข้าการเมืองมาตั้งแต่ ปี 2526 ออกจากการเมืองจริงๆ ก็ปี 2550 หมายความว่า หมดยุคทักษิณ (ชินวัตร) ตำแหน่งสุดท้ายคือ ผู้แทนการค้าไทย หลังจากนั้นก็มาทำธุรกิจเต็มตัว


ธุรกิจที่เป็นตัวเป็นตัวเป็นตนขณะนี้ก็คือ บริษัทที่ปรึกษาระหว่างประเทศ GBC (Global Business Consultant) ทำในแถบภูมิภาคอาเซียน เช่น เวียดนาม ลาว พม่า เป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุน เราก็ให้คำแนะนำไป ทีมงานก็มีทั้งญี่ปุ่น ฝรั่ง และอีกหลายคนที่มาช่วยๆ กัน เป็นฟรีแลนซ์ ล่าสุด ก็เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทญี่ปุ่น เข้าไปสร้างเขื่อนพลังน้ำในลาว และไปช่วยเหลือกลุ่มคุณเจริญ (สิริวัฒนภักดี ) ไปปลูกกาแฟในลาวที่ปักซอง จำปาสัก ผมก็เป็นที่ปรึกษาให้

@ เทียบงานการเมืองกับธุรกิจ อันไหนสนุกกว่ากัน


ทำอะไรก็เหมือนกัน ถ้าเราตั้งใจ

@ ถ้าไม่มีรัฐประหาร ชีวิตคุณจะเปลี่ยนมั๊ย


ก็คงจะเปลี่ยน(นะ) เพราะมันล้า แล้วลูกๆเขาก็สนใจ โพซิชั่นทางการเมืองของผม จึงไม่ค่อยสนใจเรื่องกระแส เพราะเราอยู่กับชาวบ้านมานาน ถ้าเป็นไปได้คราวหน้า จะให้ลูกสาวลงอีกคนที่อุดรฯ

@ คุณมองการเมืองไทยอย่างไรบ้าง


ไม่อยากพูด การเมืองไทยพูดยาก เขียนลำบาก

@ แล้ววิเคราะห์การเมืองอย่างไร เลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยจะยังมามั๊ย


พูดยาก เขียนลำบาก (หัวเราะ) แต่ยูเอ็นเขาเตือนเรา ป็นข้อเท็จจริงว่า บ้านมืองเราเหมือนสึนามิทางการเมือง พอแผ่นดินไหว รอยแยกก็วิ่งอย่างรวดเร็ว แล้วน้ำก็ลงไปในรอยแยก ทำให้น้ำลดลงอย่างรวดเร็ว พอกระแทกลงไปในรอยแยก มันก็กระฉอกออกมา พอกระฉอกก็กวาดไปหมดทุกอย่าง


ฉะนั้น ตอนนี้ รอยแยกมันลึกมาก แล้วน้ำกำลังไหลลง แล้วมันจะล้นเมื่อไหร่ พอล้นมันก็จะออกมา ซึ่งผมก็ยังคิดว่า 22 ปี จากนี้ อาจจะมีอัตราเร่ง เนื่องจากมีตัวแปรที่เปลี่ยนแปลง ก็อาจจะเร็ว อาจจะพูดถึง 10 ปี แล้วโครงสร้างการเมืองไทยจะเป็นอย่างไร


ผมเคยบอกว่า โครงสร้างเดิมเรามันล้าสมัย ฉะนั้นวิชารัฐศาสตร์ การปกครอง ผมอยากให้เปลี่ยนชื่อเป็น”วิชารัฐศาสตร์การบริการสาธารณะ” ไม่ได้ปกครอง ถามว่าปกครองเขาทำไม เดี๋ยวนี้คนปกครองตนเอง เช่น นายก อบต. จบปริญญาโท ฉะนั้นวันนี้ต้องเปลี่ยน

@ แล้วราชการจะเปลี่ยนความคิดอย่างไร ในเมื่อโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว


นี่คือสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยน คนรุ่นใหม่เขาไม่อยากเป็นข้าราชการแล้ว มันไม่มีแรงจูงใจ ฉะนั้นลักษณะขององค์กร เป็นลักษณะขององค์กรที่กำลังจะตาย มีแต่ออก ไม่มีเข้า


แล้วความเสื่อมขององค์กร มันขึ้นอยู่กับว่าทำไมเขาถึงไม่อยากเป็น เพราะโพซิชั่นไม่ถูก ทุกวันนี้คนอยากไปบริการชาวบ้าน เขาไม่อยากไปเป็นนาย ในเมื่อองค์กรบอกว่า คุณต้องเป็นนายเขา เขาก็อยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้ ก็ต้องออก มาทำมาค้าขาย การทำมาค้าขาย ก็คือ การให้บริการสังคม สมัยนี้ถ้าไม่บริการก็เจ๊ง พื้นฐานตรงนี้จึงมีคำถามว่า แบบมันจะเป็นยังไงต่อไป

ถ้าฟันธงว่า ขณะนี้งบประมาณบริหารปาเข้าไป 80 % ก็คือ over head งบพัฒนาไม่มี ไม่พอ ต้องไปกู้มา ฉะนั้น การบริหารจัดการแบบนี้ไปไม่รอด ฉะนั้น ทำยังไงถึงจะต้องทำตรงนี้ ลดคอร์ส ลดคน ปรับโครงสร้าง


คิดง่ายๆ คือ เอาราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกให้หมด ถ้าไม่มีตรงนี้ จากกลางลงไปท้องถิ่น โดยมีงบประมาณพัฒนาเพิ่มมาอย่างน้อย 30 % ถามว่าใครจะทำ ทำได้มั๊ย ถ้าจะปฏิรูปกันจริงๆ


อาจจะไปดูว่าสายต่างๆ เช่น ตำรวจ มีภาค ถ้าไม่มีภาคจะลดคอร์สได้อีกเท่าไหร่ แล้วเอาตำรวจของจังหวัดไปขึ้นกับราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ถามว่าทำได้มั๊ย เพราะเรามีดีเอสไอ ก็จับตำรวจ ท้องถิ่นที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ ทำได้มั๊ย หรือกลัวปูไต่ออกจากกระด้ง


ตอนที่เอาการปกครองท้องถิ่นมา ผมเป็นประธานกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นครั้งแรกที่เขียนไว้ในมาตรา 198 ,199 ฉบับแก้ไขรสช. โอ้โห ! จะเป็นจะตายกัน ภาคใต้จะแบ่งแยกดินแดน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านจะไปอยู่ที่ไหน นั่นคือสิ่งที่เขาอยากทำ เขาอยากปกครองตนเอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก็เคลื่อนไหวทั่วประเทศ


นั่นคือจุดเริ่มต้น วันนี้ท้องถิ่นโตขึ้น แต่ก็มีเสียงนินทาว่าโกง มีเจ้าพ่อ เจ้าแม่ แล้วระดับชาติไม่มีเหรอ แล้ววันนี้การศึกษาเป็นตัวชี้วัด ผิดถูกชั่วดียังไง เขาก็มีความรู้ วันนี้ วุฒิอย่างต่ำสุดคือ ปริญญาโท ปริญญาเอกก็กำลังมาแรง นี่คือสิ่งที่ถามว่าจะเป็นยังไงต่อไป


ฉะนั้น การเมืองส่วนกลางในอนาคตต้องเล็ก ดูเรื่องความมั่นคง ป้องกันประเทศ การต่างประเทศ การศึกษา เป็นระดับนโยบาย Implementer ก็เป็ระดับท้องถิ่น


อย่างงบประมาณนมโรงเรียน ก็ให้อบต.เป็นคนจัดซื้อ จะโกงจะกินยังไงก็ไปดูกันสิ ดีกว่าซื้อทีทั่วประเทศ กินเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ แต่ถ้าซอยย่อยลงไป ให้ซื้อเอง กินเท่าไหร่เรามองเห็นนะ ตรวจสอบได้ง่ายกว่า


วันนี้นักการเมืองหลายคน อยากหันกลับไปทำงานให้เป็นรูปธรรม ในการเมืองท้องถิ่นมากกว่าอยากทำการเมืองระดับบน

@ แต่โครงสร้างแบบเก่าก็ต้องเหนี่ยวรั้งการเปลี่ยนแปลง

ก็เป็นธรรมชาติ แต่แรงเหวี่ยงจะเร็วขึ้นด้วยอัตราเร่งที่เป็นตัวแปรทางเศรษฐกิจ ระบบสื่อสารต่างๆ ที่จะทำให้มันหมุนเร็วขึ้น พอเร็วขึ้น สูงขึ้น ก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง


ถามว่า คนที่คิดว่าจะควบคุมการเปลี่ยนแปลงของสังคม ก็ยังมีคนคิด คนอยากจะทำ คนอยากจะเป็น คิดผิดเลย ผมยังบอกว่า ผมถอยออกมา เพราะผมไม่อยากจะคิดว่าผมเป็นผู้เปลี่ยนแปลงสังคม เรามีส่วนในการที่จะผลักดัน ในส่วนที่เราทำอยู่ อะไรก็แล้วแต่ที่เราทำอยู่ เราทำเพื่อการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น


ทำธุรกิจก็ทำธุรกิจที่ดี มีธรรมาภิบาล ทำการศึกษาก็มีเป้าหมาย ฉะนั้น เราเป็นเพียง ส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลง แต่เราไม่มีความสามารถใด ๆที่จะนั่งลงเป็นอะไรก็แล้วแต่ แล้วบอกว่าฉันจะเขียนแบบการเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ แค่คิดก็ผิดแล้ว

ฉะนั้น ไม่มีโรดแมป ไม่มีบลูปริ้น แต่สังคมเป็นแพทเทิร์น เป็นกระบวนทัศน์ เป็นขบวนการ ในการที่จะเปลี่ยนแปลงหรือหมุนไป ในทิศทางที่มันควรจะเป็นในลักษณะที่คนในสังคม หรือทรัพยากรในสังคม ที่จะใส่ลงไป แล้วมันจะเป็นทางไหน เซ็ตตัวยังไง มันจะเป็นเรื่องของมันเอง

@ คุณมองความขัดแย้งเรื่องชนชั้นกลางกับคนรากหญ้าอย่างไร


จริงๆ ไม่ใช่เรื่อง conflict แต่เป็นเรื่องของจิตสำนึก เป็นเรื่องของความรู้สึกรู้สา เมื่อก่อนเขาไม่ค่อยร้อนไม่ค่อยหนาว เพราะเขาไม่ได้มาส่วนร่วม ในการที่จะไม่เคยบอกให้เขามีส่วนร่วม มีคนมาทำให้หมด


เราไม่เป็นเมืองขึ้น แต่ถามว่าประชาชนมีส่วนมั๊ย วีรบุรุษเอกชนคนไหนมีส่วนบ้าง ที่รู้สึกรู้สากันจริงๆ ก็ตอนสงครามเย็นว่าเราสูญเสีย เราเสียสละ เขาบอกว่าเราทำลายทรัพยากรธรรมชาติไปทั้งภาคอีสาน คนได้สัมปทานไปตัดไม้


ทฤษฎีที่ว่า คอมมิวนิสต์คือเหา เหามันอยู่ในหัวทำยังไง ให้เหาหมด ก็ต้องโกนผม แต่ถามว่าคนอีสานโง่พอที่จะไปตัดไม้ ทำลายป่าให้บ้านเมืองแห้งแล้งหรือ หรือว่าใครกันแน่


ถามว่า เราจะไปทางไหน ใครจะมาเขียนโรดแมปประเทศ จะเขียนยังไง เขียนให้ออกมาสวยหรู แต่ถามว่า คุณเป็นดีไซน์เนอร์ แล้ววิศกรอยู่ไหน ใครเป็นคนก่อสร้าง คนก่อสร้างมีทักษะหรือเปล่า จะรื้อหรือจะตอกเข็มตัวไหน


ฉะนั้น อย่าไปคิดเป็นซุปเปอร์แมน แต่เฝ้าสังเกตแล้วคอยติดตาม การที่เราทำให้คนชั้นล่าง หันตัวมาเป็นชนชั้นกลางมากขึ้นนั่นคือคำตอบ ส่วนชนชั้นสูงมีอยู่หยิบมือเดียว ก็จะกินตัวมันเอง ถ้าไม่รักษา คนที่กินก็คือลูกหลานนั่นแหละ และจะถูกกินโดยระบบ นั่นคือเทรนด์ที่มันจะเกิด แล้วเขาก็จะกระจายตัวเอง ไม่ได้เป็นใหญ่ เขาจะเป็นกลาง

กลางร้อยกลาง ดีกว่าหนึ่งใหญ่ นั่นคือความคิดคนรุ่นใหม่ กระจายไปกลางๆ มีเพื่อนเยอะด้วย เดินไปไหนคนก็ไม่หมั่นไส้ แต่เราจะทำยังไงให้คนชั้นล่างขึ้นมาเป็นคนชั้นกลาง


ความหมาย middle class ของผม ไม่ได้หมายความถึงสถานทางเศรษฐกิจ แต่หมายถึง Knowledge เขาจะกลายมาเป็นชนชั้นกลางโดยองค์ความรู้ ที่เราใช้คำว่า knowledge based society ไม่ใช่ Economics ที่เราจะอัดฉีดเข้าไป ไม่ใช่ไทยเข้มแข็ง ที่อัดเข้าไป มันไม่มีค่าเท่าอีกแบบหนึ่ง


ในขณะเดียวกัน ขบวนการเรียนรู้ของคนผ่านระบบการศึกษาในระบบ หรือนอกระบบ ทุกวันนี้คนหา ข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต แล้วถามว่า คนอายุ 70 กว่าๆ มีใครนั่งหาข้อมูลอยู่หน้าอินเตอร์เน็ตบ้าง เคาะแป้นยังไม่เป็นเลย แล้วจะไปคิดโน่นคิดนี้แทนคนอื่น อย่างผมทุกวันนี้ให้ลูก ให้เลขาฯ หาข้อมูลให้ แล้วที่เขาหาให้มันเป็นมหาสุมทรกว้างใหญ่ไพศาล คนรุ่นเรา เป็นกบอยู่ในสระน้ำ ฉะนั้น มันเป็นยุคของเขา

@ การพูดเรื่องปฎิรูปประเทศไทยของรัฐบาลปัจจุบัน มีความหมายแค่ไหน


ก็จะให้เขาทำอะไรล่ะ อยากอยู่ก็ได้อยู่แล้ว ฉะนั้น อยู่ไปก็ต้องมีอะไรทำ แต่ประสิทธิผลของมัน มันจะส่งผลก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ต้องไปถามอาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร กับคุณสมัคร สุนทรเวช นั่งดีดขิมอยู่ 12 ปี ในการปฏิรูปประเทศ วันรุ่งขึ้นก็โดนปฏิวัติ นั่นพูดเมื่อ 30 ปีที่แล้ว(นะ ) แล้วตอนนี้จะเอาอีกแล้วเหรอ (ครับ) ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เรียนรู้กัน แต่ถ้าใครถามมากก็บอกว่า พูดยาก เขียนลำบาก