ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Wednesday, 7 April 2010

คนเสื้อแดงยืนหยัดต่อสู้อย่างสันติวิธี รัฐอภิสิทธิ์ ข่มขู่คุกคามบิดเบือน

ที่มา Thai E-News





ฝ่าวงล้อม-กลุ่มผู้ชุมนุม รวมทั้งพระภิกษุสงฆ์ได้ขอร้องและผลักดันให้ทหาร-ตำรวจที่เข้าปิดล้อมพื้นที่ชุมนุมย่านราชประสงค์ถอนกำลังออกไปเป็นผลสำเร็จในช่วงบ่ายวันนี้ จากนั้นได้ดาวกระจายไปยังถนน 11สายที่ศอ.รส.ห้าม เพื่ออารยะขัดขืน(ภาพข่าว:AP)

นักธุรกิจต้องฟัง-ติดตามชมคลิปวิดิโอจาตุรนต์ ฉายแสงพูดกับนักธุรกิจเอกชนที่เวทีราชประสงค์ หากต้องการให้เศรษฐกิจดี ทำมาค้าขายคล่อง ต้องสนับสนุนยุบสภา ไม่ใช่ค้านคนเสื้อแดงคลิ้ก


โดย เปลวเทียน ส่องทาง
6 เมษายน 2553



(ภาพบน)คนเสื้อแดงหลบร้อนกลางแดดแผดเปรี้ยงใต้รูปปั้นหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ (ภาพล่าง)อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในสถานการณ์ที่พลิกไปอีกขั้นว่า หากจะเจรจากันต่อก็ต้องเชิญ"ฝ่ายอื่น"นอกเหนือจากเสื้อแดงเข้าร่วมด้วย


“ ร้อยแสนล้านศรัตาวุธรัฐบาลอันธพาล ฤาจักอาจต้านพลังมหาประชาชน”
“โค่นอำมาตย์ลงไป ประชาไท จงเจริญ”


การต่อสู้ของคนเสื้อแดง คงมิใช่เพียง 20 กว่าวันในพื้นที่ใจกลางเมืองหลวงปัจจุบันเท่านั้น แต่คนเสื้อแดงได้เริ่มต้นการต่อสู้ ตั้งแต่ภายหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ท่ามกลางคนเสื้อแดงที่หลากหลาย แต่มีเป้าหมายเดียวกัน เพื่อ “ประชาธิปไตย”

เพื่อโค่น “อำมาตยาธิปไตย”

การต่อสู้ของคนเสื้อแดง ภายใต้การนำของแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช) นั้นนอกจาก ประกอบด้วย สมาชิกนปช. พรรคเพื่อไทย แล้วยังประกอบด้วย ผู้มีหัวใจสีแดงอิสระจากพรรคเพื่อไทย เช่น สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท) กรรมกรแดงเพื่อประชาธิปไตย สมาคมชาวนา กลุ่มรถสิบล้อ เครือข่ายชาวนาต่างๆ คนชั้นกลาง นักธุรกิจ พระสงฆ์ที่รักชาติรักประชาธิปไตยและอีกมากมาย ที่ก่อตัวเป็น คนเสื้อแดง ไพร่ผู้ทระนง ทวงถามถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ว่าคนเราเท่ากัน

ความหมายทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนเสื้อแดง นั้นเป็นการต่อสู้เพื่อสืบสานภารกิจเจตนารมณ์ของคณะราษฎร ที่ได้ผลิดอออกผลไว้เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยมี ปรีดี พนมยงค์เป็นผู้นำคณะราษฎร เมื่อ 77 กว่าปี
แนวทางการต่อสู้ของคนเสื้อแดง ประกาศก้องชัดเจนว่า สันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ


เป็นการต่อสู้ด้วยสองมืออันว่างเปล่า เหมือนเฉกเช่นประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชน เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535

การต่อสู้ของคนเสื้อแดง เป็นการต่อสู้เพื่ออนาคตของสังคมไทย หาใช่เพียงปัจจุบันสมัยแต่อย่างใด

พวกเขาคนเสื้อแดง จึงยืนหยัดต่อสู้ แม้จะยาวนาน พร้อมเหน็ดเหนื่อย เผชิญกับความยากลำบาก อดทนกับอากาศที่ร้อนระอุ ถิ่นฐานที่หลายคนไม่คุ้นเคย ห้องน้ำที่ระบายทุกข์ส่วนตัวที่ไม่สะดวกสบายนัก

แต่เพราะพวกเขามี “หัวใจสีแดง” หัวใจที่ร้อนรุ่ม เพื่อประชาธิปไตย เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของสังคมไทย เขาจึงเลือกที่จะสู้

การเสียสละของคนเสื้อแดง จึงสมควรยกย่อง เป็นแบบอย่างให้สังคมไทย ใช่หรือไม่ ?

แม้พวกเขาไม่ได้มีหน้ามีตาเป็นคนเด่นดังในสังคม แม้พวกเขาส่วนใหญ่ยากจน แม้พวกเขาพูดภาษากรุงเทพฯไม่ชัดคำ แม้พวกเขาไม่ได้ใส่น้ำหอมในเนื้อตัว แม้พวกเขาผิวไม่ขาวโปร่ง แม้พวกเขาไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์

แต่ไพร่อย่างพวกเขาล้วนมีจิตใจกล้าสู้กล้าเสียสละ เฉกเช่น จิตใจที่กล้าหาญของ “ลุงนวมทอง ไพรวัลย์” แท็กซี่เพื่อประชาธิปไตย ผู้ซึ่งเสียสละแม้กระทั่งชีวิต ที่มิอาจมีชีวิตมีลมหายใจอยู่ได้ในสังคมที่ปกครองโดยเผด็จการอำมาตย์ทหารปัจจุบัน

และมีแต่คนไร้ซึ่งหัวใจประชาธิปไตยเท่านั้น ที่ปฏิเสธอำนาจอธิปไตยต้องเป็นของประชาชน

มีแต่คนรักชอบอำมาตย์ นิยมเผด็จการ ชื่นชมการแบ่งชั้นทางสังคมเท่านั้น ที่เมินเฉยและต่อต้านการต่อสู้ของคนเสื้อแดง

อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์การเมืองไทยและทั่วโลกก็บ่งบอกให้รู้ว่า เมื่อใดที่ประชาชนทำการต่อต้านต่อสู้กับรัฐและผู้ปกครอง เมื่อนั้นรัฐและผู้ปกครองย่อมมีวิธีการกลยุทธ์ คุกคาม ทำลาย และปราบปราม ด้วยเช่นกัน

รัฐอภิสิทธิ์ปัจจุบัน นอกจากมีสื่อมวลชนทั้งของรัฐ ของเอกชน และของสาธารณะ ที่ใช้กลยุทธการสื่อสารครอบงำผู้คนในสังคมเพื่อทำลายความชอบธรรมของคนเสื้อแดงแล้ว

รัฐอภิสิทธิ์ ยังได้หยิบกฎหมายความมั่นคงที่ออกสมัยรัฐบาลของคณะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มาใช้เพื่อข่มขู่ คุกคาม ปราบปราม พร้อมบอกว่าจะประกาศภาวะฉุกเฉิน กฎอัยการศึกและได้ประกาศต่อสาธารณว่า คนเสื้อแดงทำผิดกฎหมาย ให้ข่าวใส่ร้ายว่าคนเสื้อแดงทำให้คนกรุงเทพฯเดือดร้อน ป้ายสีว่าสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศ สร้างภาพลักษณ์ให้คนเสื้อแดง เป็นผู้ร้าย เป็นดั่งปีศาจเพื่อให้ทั้งคนเสื้อแดง และไม่แดง เกิดความกลัว

แต่สำหรับคนเสื้อแดงแล้ว เขาหาเป็นเช่นนั้นไม่

คนเสื้อแดง เขายังคงยืนหยัดต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม เพื่อความใฝ่ฝันของพวกเขาอย่างสุดจิตสุดใจ ด้วยแนวทาง “สันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ” ตามสิทธิเสรีภาพของระบอบประชาธิปไตย

ขณะที่รัฐอภิสิทธิ์ ก็เปิดทางใช้ให้เครือข่ายอำมาตย์ เช่น กลุ่มคนเสื้อสีชมพู กลุ่ม 40 สมาชิกวุฒิสภา นักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย สภาหอการค้า และอื่นๆ ซึ่งเป็นอดีตเป็นคนเสื้อเหลือง ผู้มีจุดยืนเอารัฐประหาร นิยมอำมาตย์ ไม่เอาประชาธิปไตย ได้เรียงแถวเข้าพบ และยังได้ ใช้กลไกองค์กรที่ตนเองผ่านงบประมาณออกมา เช่น สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน สภาองค์กรชุมชน เครือข่ายพลเมืองคนกรุงเทพฯ องค์กรพัฒนาเอกชนบางคนบางส่วน และอื่นๆ

เพื่อแสดงบทบาทไม่ให้รัฐบาลยุบสภา ตามข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง ทั้งโดยตรงและซ่อนเงื่อน

ณ เวลานี้ นายอภิสิทธิ์ จึงค่อนมาทางไม่ยุบสภา แม้เคยเสนอว่าจะยุบภายใน 9 เดือนก็ตาม

ฤา สังคมไทย มิอาจหลีกเลี่ยง สงครามทางชนชั้นได้ ?

ระหว่างไพร่กับอำมาตย์ ระหว่างประชาธิปไตยกับอำมาตยาธิปไตย

วิญญูชนทั้งหลาย อย่าปล่อยให้รัฐอำมาตย์เหิมเกริมต่ออำนาจเพื่อขจัดคนเสื้อแดง จงร่วมแรงร่วมใจร่วมสนับสนุน การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงกันเถิด

เพราะประชาธิปไตย คืออนาคตของสังคมไทย



“ ร้อยแสนล้านศรัตาวุธรัฐบาลอันธพาล ฤาจักอาจต้านพลังมหาประชาชน”
“โค่นอำมาตย์ลงไป ประชาไท จงเจริญ”