ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Wednesday, 9 September 2009

วันที่9เดือน9ร่วมไว้อาลัยทั้งแผ่นดิน ครบ1ปีอัปยศเปิดพจนานุกรมปลดนายกฯประชาชนเลือกตั้ง

ที่มา Thai E-News


ไร้ยางอาย!-ทำกับข้าวถูกปลด เป็นกบฎยึดทำเนียบถูกปล่อย ยึดสนามบินนานาชาติเป็นผู้ก่อการดี รักษาความสงบป้องกันรัฐสภาถูกชี้มูลผิด...ที่นี่ประเทศใคร!?? คนที่ทำก็ไร้ยางอาย คนที่ยังทนได้โดยไม่รู้สึกรู้สา ก็ไร้สำนึก

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา บอร์ดประชาไท
9 กันยายน 2552


วันที่ 9 เดือน 9 ปี09 ปีนี้นับเป็นวันครบขวบปีเหตุการณ์อัปยศบทหนึ่งของการเมืองไทย เมื่อศาลรัฐธรรมนูญเปิดพจนานุกรมตัดสินให้นายสมัคร สุนทรเวช พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โทษสถานหนักทำกับข้าวออกทีวี หลังกรณีนี้มีการเปิดเผยว่านายจรัญ ภักดีธนากุล 1 ในตุลาการที่ตัดสินคดีนี้ ถูกตรวจสอบพบว่า ได้ไปเป็นลูกจ้างมหาวิทยาลัยสอนหาลำไพ่พิเศษ แต่ไม่มีการดำเนินการใดๆ ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยจึงนัดหมายกันแต่งดำไว้ทุกข์ทั้งแผ่นดิน เพื่อไว้อาลัยกับความยุติธรรม2มาตรฐานที่ใช้อำนาจปลดนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งของประชาชน


ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยได้ชักชวนกันแต่งดำไว้ทุกข์ในวันที่ 9 เดือน 9 ปี 09 อันเป็นวันครบขวบปีเหตุการณ์ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตัดสินมีผลให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามาพ้นตำแหน่ง แค่เพียงเหตุจากการทำกับข้าวออกทีวี โดยการตัดสินเป็นไปโดยพิลึกพิลั่น คือเปิดพจนานุมกรมตัดสินคดี

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 9 เดือน 9 ปีกลาย คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ตัดสินให้นายสมัคร สุนทรเวช พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเปิดพจนานุกรมตัดสินว่า การทำหน้าที่เป็นพิธีกรรายการ “ชิมไปบ่นไป” และ “ยกโขยง 6 โมงเช้า” มีความผิดรัฐธรรมนูญ สร้างความขบขันไปทั่วทั้งโลก และมีการวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมไทยอย่างหนัก

คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนำโดยนาย ชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยโดยสาระสำคัญระบุว่า หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้อง คำชี้แจง การแก้ข้อกล่าวหา เอกสารประกอบ พยานหลักฐานอื่นทีเกี่ยวข้อง และคำเบิกความจากพยานบุคคลแล้ว เห็นว่าคดี มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ โดยมีการกำหนดประเด็นที่พิจารณาวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้อง สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรค 1 (7) ประกอบมาตรา 267 เพราะเหตุผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งใดใน บริษัทเฟซ มีเดียจำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจที่มุ่งหาผลประโยชน์ กำไร หรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบริษัทดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 บัญญัติห้ามนายกฯและรัฐมนตรีเป็นลูกจ้างของบุคคลใด เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯ และรัฐมนตรี เป็นไปโดยชอบ ป้องกันมิให้เกิดการกระทำที่เกิดการขัดกันแห่งผลประโยชน์ อันจะก่อให้เกิดสถานะ การขาดจริยธรรมซึ่งยากในการตัดสินใจ ทำให้ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์สาธารณะเมื่อผู้ดำรงตำแหน่ง คำนึงถึงประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์สาธารณะ ฐานขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่จึงขัดกันในลักษณะที่ประโยชน์ส่วนตัว จะได้มาจากการเสียไปซึ่งประโยชน์สาธารณะ

“การทำให้เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวบรรลุผล จึงไม่ใช่แปลความคำว่าลูกจ้างในรัฐธรรมนูญมาตรา 267 เพียงหมายถึงลูกจ้างตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน หรือตามกฎหมายภาษีอากรเท่านั้นเพราะกฎหมายแต่ละฉบับย่อมมีเจตนารมณ์ที่แตกต่างกันไปตามเหตุผล และการบัญญัติกฎหมายนั้นๆ ทั้งกฎหมายดังกล่าวก็ยังมีศักดิ์ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศและยังมีเจตนารมณ์เพื่อป้องกันการกระทำที่เป็นการกระทำขัดกันแห่งผลประโยชน์แตกต่างจากกฎหมายดังกล่าวอีกด้วย”

นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์การปกครองประเทศ เนื่องจากตั้งรับรองสถานะของสถาบันและสิทธิและเสรีภาพของประชาชน กำหนดพื้นฐานการดำเนินการของรัฐ เพื่อให้รัฐได้ใช้เป็นหลักใช้ปรับกับสภาวะการหรือเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างถูกต้องตามเจตนารมณ์ ดังนั้นคำว่าลูกจ้างตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 จึงมีความหมายกว้างกว่าคำนิยามของกฎหมายอื่น โดยต้องแปลตามความหมายทั่วไป

ซึ่งตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ได้ให้ความหมายของคำว่าลูกจ้างว่า หมายถึง ผู้รับจ้างทำการงานผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้างโดยได้รับค่าจ้าง ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร โดยมิคำนึงถึงว่าจะมีการทำสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ หรือได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าจ้าง สินจ้าง หรือค่าตอบแทนในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินอย่างอื่น หากมีการตกลงเป็นผู้รับจ้างทำการงานแล้ว ย่อมอยู่ในความหมายของคำว่าลูกจ้าง


ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 ทั้งสิ้น มิเช่นนั้นผู้เป็นลูกจ้างหรือผู้ที่รับจ้างรับค่าจ้างเป็นรายเดือนในลักษณะสัญญาจ้างแรงงาน เมื่อได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีก็สามารถทำงานต่อไปได้ โดยเปลี่ยนค่าตอบแทนจากค่าจ้างรายเดือน มาเป็นสินจ้างตามการทำงานที่ทำ เช่น แพทย์เปลี่ยนจากเงินเดือนมาเป็นค่ารักษาตามจำนวนคนไข้ ที่ปรึกษากฎหมายก็เปลี่ยนจากเงินเดือนมาเป็นค่าปรึกษาหรือค่าทำความเห็นมาเป็นรายครั้ง ซึ่งก็ยังผูกพันกันในเชิงผลประโยชน์ กันอยู่ระหว่างเจ้าของกิจการกับผู้ที่รับทำงานให้ เห็นได้ชัดเจนว่ากฎหมายย่อมไม่มีเจตนารมณ์ให้หาช่องทางหลีกเลี่ยงให้ทำได้โดยง่าย

ข้อเท็จจริงได้จากการไต่สวนนายสมัคร หลังจากผู้ถูกร้องเข้ารับตำแหน่งนายกฯ แล้วยังเป็นพิธีกรในรายการ “ชิมไปบ่นไป” และ” ยกโขยงหกโมงเช้า” ให้กับบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เมื่อพิเคราะห์ถึงลักษณะกิจการงานที่บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ได้กระทำร่วมกันกับผู้ถูกร้องมาโดยตลอดเป็นเวลาหลายปี โดยบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เพื่อมุ่งค้าหากำไร ไม่ใช่เพื่อการกุศลสาธารณะ และนายสมัคร ได้รับค่าตอบแทนอย่างสมฐานะ และภารกิจเมื่อได้กระทำในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งเป็นนายกฯ จึงเป็นการกระทำและนิติสัมพันธ์ที่อยู่ในขอบข่ายที่มาตรา 267 ประสงค์จะป้องปรามเพื่อไม่ให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนกับภาคธุรกิจเอกชนแล้ว ทั้งยังปรากฏจากคำให้สัมภาษณ์ของผู้ถูกร้องในหนังสือสกุลไทย ฉบับที่ 47 ประจำวันอังคารที่ 23 ต.ค. 44 หน้า 37 อีกด้วยว่า การทำหน้าที่พิธีกรกิตติมศักดิ์รายการโทรทัศน์ ชิมไปบ่นไป ที่ออกอากาศทุกวันเสาร์เวลา 10.30 น. - 11.00 น. ทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ผลิตรายการโดยบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัดนั้น นายสมัคร ได้รับเงินเดือนจากบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เดือนละ 8 หมื่นบาท

สำหรับหนังสือของนายศักดิ์ชัยที่มีถึงนาย สมัคร ลงวันที่ 15 ธ.ค. 50 ปรึกษาว่าจะดำเนินการอย่างไรในการเป็นพิธีกรรับเชิญในรายการชิมไปบ่นไป และหนังสือของนายสมัครมีถึงนาย ศักดิ์ชัย ลงวันที่ 25 ธ.ค. 2550 แจ้งว่า “ จะทำให้เปล่าๆ โดยไม่ได้รับเงินค่าตอบแทนเป็นค่าน้ำมันรถเหมือนอย่างเคย “ นั้น นายสมัครไม่เคยแสดงหนังสือทั้ง 2 ฉบับนี้มาก่อนจนถูก กกต. เรียกให้ชี้แจง โดยนายสมัคร ชี้แจงเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 51 และยังคงยืนยันเสมือนว่าก่อนเดือนธ.ค. 50 ได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าน้ำมันรถเท่านั้น ซึ่งขัดแย้งกับคำเบิกความของนางดาริกา รุ่งโรจน์ พนักงานบัญชีของ เฟซ มีเดีย จำกัด และหลักฐานทางภาษีอากร ที่ว่าก่อนหน้านั้นว่า นายสมัครได้รับค่าจ้างแสดง ไม่ใช่ค่าน้ำมันรถ อันเป็นข้อพิรุธ ส่อแสดงว่าเป็นการทำหลักฐานย้อนหลัง เพื่อปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่าตอบแทนของนายสมัคร อีกทั้งนายสมัครเองเบิกความว่าไม่ได้รับค่าน้ำมันรถ และค่าใช้จ่าย น่าจะเป็นการนำเงินไปให้คนขับรถมากกว่า ก็ขัดแย้งกับคำชี้แจงของนายสมัครเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 51 ที่ให้การว่า การที่ได้รับเชิญไปในรายการ “ชิมไปบ่นไป” น่าจะได้รับค่าพาหนะ โดยค่าพาหนะจะได้รับเฉพาะเมื่อได้ไปออกรายการเท่านั้น ถ้าไม่ไปออกรายการตามที่เชิญมากก็ไม่ได้รับค่าพาหนะ จึงรับฟังเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้

“พยานหลักฐานทั้งหมดมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า นายสมัคร ทำหน้าที่พิธีกรในรายการ “ชิมไปบ่นไป” หลังจากเข้าดำรงตำแหน่งนายกฯ แล้ว โดยยังคงได้รับค่าตอบแทนที่มีลักษณะเป็นทรัพย์สินจาก บริษัทเฟซ มีเดีย จำกัด ดังนั้นการที่เป็นพิธีกรให้แก่บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด จึงเป็นการรับจ้างการทำงานตามความหมายของคำว่า “ลูกจ้าง” ตามนัยแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 267 แล้ว เป็นการกระทำอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 ความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร จึงสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรคหนึ่ง(7) “

อย่างไรก็ตามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 6 คน เห็นว่านายสมัคร เป็นลูกจ้างของบริษัทเฟซ มีเดีย จำกัด เป็นการกระทำอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในปัญหาว่า นายสมัครดำรงตำแหน่งใดในบริษัทเฟซ มีเดีย จำกัด หรือไม่อีก ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 3 คน เห็นว่าการเป็นพิธีกร การใช้ชื่อรายการ “ชิมไปบ่นไป” และใช้รูปใบหน้าของนายสมัคร ในรายการของบริษัทเฟซ มีเดีย จำกัด เป็นการตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันพึงได้แก่กิจการที่ทำ ในลักษณะที่เป็นหุ้นส่วนร่วมกัน ดังนั้นการกระทำของผู้ถูกร้องให้แก่บริษัทเฟซ มีเดีย จำกัด จึงเป็นการดำรงตำแหน่งในห้างหุ้นส่วน โดยมุ่งหาผลกำไร หรือรายได้มาแบ่งปันกัน และไม่จำต้องวินิจฉัยในปัญหาว่า นายสมัคร เป็นลูกจ้างบริษัทเฟซ มีเดีย จำกัด เป็นการกระทำอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 หรือไม่อีก

อาศัยเหตุผลข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเอกฉันท์ จึงวินิจฉัยว่านายสมัคร กระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 มีผลให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรคหนึ่ง(7) และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว จึงเป็นเหตุให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 180 วรรคหนึ่ง(1) แต่ด้วยความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร ที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ เป็นการสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ทำให้รัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีที่เหลือ จึงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 181