ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Sunday, 8 March 2009

ได้ เวลานับถอยหลัง รัฐบาลอภิสิทธิ์

ที่มา ไทยรัฐ

ได้ เวลานับถอยหลัง รัฐบาลอภิสิทธิ์ ประเมินดูแล้วคงรอดยาก เนื่องจากกว่าจะลงมือทำอะไรได้ก็สายไปเสียแล้ว เหตุก็เพราะวัฒนธรรมการบริหารงานของ พรรคประชาธิปัตย์ จะยึด กฎหมาย เป็นหลัก ต้องกลั่นกรองแล้วกลั่นกรองอีก โดยเฉพาะเรื่อง ข้อกฎหมาย ต้องตรวจกันถี่ยิบทีละมาตรา โยนไปโยนมาเพื่อให้เกิดความรอบคอบที่สุด ห้ามผิดพลาดเด็ดขาด!!!............

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ยังไม่มีความโดดเด่นในเรื่องการเป็น ผู้ริเริ่มแนวคิด หรือ แนวทางใหม่ๆ ให้กับบ้านเมือง ยกเว้น การลอกเลียนแบบ ถ้าเป็นเรื่องเห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง รับรอง รัฐบาลชุดนี้จะทำตามทันทีโดย ไม่ลังเล แถมยังทุ่มเททำเต็มที่ไม่ลืมหูลืมตา ไม่สนด้วยซ้ำไปว่า วิธีการที่สำเร็จในอดีต อาจนำมาใช้ ไม่ได้ผล ในปัจจุบัน เพราะสถานการณ์ต่างๆ รวมถึง ตัวแปรสำคัญ ได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว!!!............

จริงๆแล้ว เป็นเรื่องแปลกมาก เห่าไฟ พยายามถามตัวเองมาตลอด ทำไมรัฐบาลที่ขึ้นชื่อว่า เป็นตัวแทนของเสื้อเหลือง อวดอ้างนักหนาว่า ยึดมั่นในชาติ ศาสน์ กษัตริย์มากกว่าเสื้อแดง แต่กลับไม่นำพาในเรื่อง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับหลับหูหลับตา ถึงขั้นไปลอกแนวคิด เฮลิคอปเตอร์มันนี่ มาจากอเมริกา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ความฟุ่มเฟือยของโลก ประกาศกู้เงินนับแสนล้านบาท เพื่อนำมาทุ่ม โครงการซุปเปอร์ ประชานิยมชนิดหน้ามืดตามัว โดยมีบรรดาเสื้อเหลืองทั้งหลายเป็นกองเชียร์กันแบบ สุดลิ่มทิ่มประตู!!!............

คำถามก็คือ หลักการที่ว่า จะสร้างการเมืองใหม่ให้เป็น เขตปลอดเงิน ไม่ส่งเสริมให้ประชาชน บ้าคลั่งในวัตถุ แต่จะเดินตามแนวทางพอเพียงนั้น บัดนี้ หายไปไหนหมดแล้ว ก็ไหนว่า เกลียดชัง ไอ้พวกที่ชอบใช้เงินฟาดหัวชาวบ้านนักหนาไม่ใช่หรือ โดยเฉพาะ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ตอนเป็นฝ่ายค้าน ได้แสดงท่าทีต่อต้านนโยบายประชานิยมของ รัฐบาลทักษิณ อย่างออกนอกหน้ามาตลอด แถมกล่าวหาว่าเป็นการใช้เงินรัฐมาซื้อเสียงด้วยซ้ำไป แต่ไฉนพอได้อำนาจวาสนาบ้าง กลับทำในสิ่งที่ ยิ่งกว่าเป็นสองเท่าเล่า!!!............

หรือเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะ อำนาจเป็นสิ่งหอมหวน ไม่ว่าใครหากได้ครอบครองก็จะกลายเป็นคน หน้ามืดตามัว ทำได้ทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจเอาไว้ แม้ต้องกลืนน้ำลายที่ถ่มออกไป ก็พร้อมทำโดยไม่ลังเล หลายคนเริ่มแสดง ธาตุแท้ ให้เห็น เหตุผลที่โค่นล้มรัฐบาลในอดีต ก็เพราะ ไม่ชอบขี้หน้า และ แพ้เลือกตั้ง พอใช้วิธี กฎหมู่ ขับไล่ศัตรูทางการเมืองออกไปได้ ก็กรูกันเข้ามา เสพอำนาจ ชนิดชื่นมื่นถ้วนหน้า แสดงให้เห็นว่า ที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่อง ใครผิดใครถูก แต่เป็นเรื่องของ ทีเอ็งทีข้า ต่างหาก!!!............

ฉะนั้น ก่อนที่ รัฐบาลอภิสิทธิ์ จะทำในสิ่งที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ลงไป ก็ขอเตือนกันไว้ตรงนี้ สถานการณ์โลกในยุค โกลบอลไลเซชั่น มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้าง รวดเร็ว รุนแรง และ โหดร้าย ยากที่ใครจะต้านทานเอาไว้ได้ แม้แต่ อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น มหาอำนาจด้านเศรษฐกิจ บิ๊กเบิ้มกว่าไทยหลายเท่ายังแทบ เอาตัวไม่รอด แต่ไทยกลับผยองพองขน ไม่ดูสารรูปตัวเอง ดันทุรังจะเอา ไม้ซีกไปงัดไม้ซุง สุดท้าย เงินหลายแสนล้านที่นำไป กระตุ้นการบริโภค จะหายวับไปในพริบตา เพราะสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจได้แปรสภาพไปเป็น บ่อทรายดูด จนหมดแล้ว!!!............

ฉะนั้น กลยุทธ์ ที่น่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์ผันผวนในปัจจุบันมากที่สุดก็คือ กลยุทธ์พอเพียง โดยเฉพาะการเลือกใช้ นโยบายออมพลังทางการเงิน ของภาครัฐเอาไว้ เพื่อเก็บพลังไว้ เยียวยารักษา กลุ่มคนที่บาดเจ็บจากความผันผวนทางเศรษฐกิจไม่ให้ถึงขั้นต้องอดตาย ไม่ใช่ทำเป็น ฮึกเหิม ไปเบ่งพลังสู้เหมือน อึ่งอ่าง พองลมต้านพายุร้าย สุดท้าย ทุกภาคส่วนทั้ง รัฐเอกชน และ ประชาชน คงหมดเรี่ยวแรงนอนรอความตายพร้อมกัน เพราะ ดุลยภาพ ถูกทำลาย ภาครัฐจะไม่มีแรงเพียงพอไปโอบอุ้มเอกชนและประชาชนอีกต่อไป!!!............

โดยเฉพาะหลักการสำคัญของ ปรัชญาพอเพียง ก็คือ ไม่ใช้จ่ายเงินเกินตัว แต่ รัฐบาลอภิสิทธิ์ กลับควักงบประมาณกันมือระวิง แถมยังประกาศ กู้เงิน ทั้งระยะสั้น-ระยะยาวอย่างต่อเนื่องถล่มทลาย เป้าหมายก็คือ ต้องการนำ เงินในอนาคต มาละลายแม่น้ำในวันนี้ให้มากที่สุด เพื่อโกยคะแนนนิยมทางการเมือง พูดง่ายๆก็คือ กลัวสูญเสียอำนาจ นั่นเอง!!!............

ในทางกลับกัน หาก อดีตนายกฯทักษิณ และ พรรคเพื่อไทย มองปัญหาทะลุ และรู้จักเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมมาจัดการปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยประกาศจุดยืนว่า จะเดินหน้ากลยุทธ์ พอเพียง เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ประชาชนทั่วประเทศ ทุกอย่างก็จะกลับตาลปัตรไปหมด เพราะเอาเข้าจริง ฝ่ายที่อวดอ้างว่า ยึดมั่นสถาบันมากกว่าใคร สุดท้าย ก็อาจเป็นแค่ ของปลอม เท่านั้นเอง!!!............

เห่าไฟ