ข่าวคราวนมบูด นมเน่า นมโรงเรียนต่ำมาตรฐาน เงียบหายเป็นปลิดทิ้ง...หลังคณะรัฐมนตรีมีมติรื้อระบบจัดซื้อนมโรงเรียนใหม่
ราวกับเป็นยาดี แก้ปัญหาได้ผลชะงัดทันตาเห็น...แต่ไม่ใช่เป็นผลงานสุดแปลกแบบมายากลแต่อย่างใด เพราะมติ ครม.ออกมาในช่วงปิดเทอม
เด็กไม่ไปโรงเรียน ไม่มีนมฟรีแจกเด็ก...นมเน่านมบูดที่โรงเรียนก็เลยไม่มีให้เห็น
แต่ที่แปลกยิ่งกว่าแปลก...ผลการแถลงมติเรื่องการแก้ไขปัญหานมทั้งระบบ โดยทีมงานโฆษกรัฐบาล ที่แถลงออกมาใน 2 ประเด็นสำคัญ
หนึ่งนั้นรู้กันดีอยู่แล้ว...สั่งรื้อระบบนมโรงเรียนใหม่
กับอีกหนึ่ง...อนุมัติงบประมาณอุดหนุน (งบกลาง) เพื่อจัดซื้อนมเป็นเงิน 2,579.18 ล้านบาท โดยจัดสรรให้กับองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) จัดซื้อนมยูเอชที 67.62 ล้านกล่อง ในวงเงิน 510.54 ล้านบาท เพื่อส่งมอบให้กับโรงเรียนประถมศึกษาปีที่ 5-6
ฟังดูแรกๆ เหนือความคาดหมาย แต่เดิมที่ประชุมแก้ปัญหานมโรงเรียนได้มีมติรื้อระบบนมโรงเรียน ให้เปลี่ยนรูปแบบการจัดซื้อนมใหม่ ให้ซื้อนมกล่องหรือนมยูเอชทีในสัดส่วนมากขึ้นกว่าเดิม
จากที่โครงการนมโรงเรียนเคยจัดซื้อนมกล่อง 30% ซื้อนมถุงหรือนมพาสเจอไรซ์ 70%...ให้เปลี่ยนมาเป็นซื้อนมกล่อง 70% ซื้อนมถุง 30% แทน
นัยว่าวิธีการนี้จะช่วยแก้ปัญหานมบูด นมเน่า นมต่ำมาตรฐานได้
แต่มติ ครม.ที่แถลงออกมาให้จัดซื้อแค่ 67 ล้านกล่อง ถือว่าจิ๊บๆ เพราะนมโรงเรียนทั้งระบบที่จะเริ่มใหม่ในปีการศึกษา 2552 ให้เด็กอนุบาลถึง ป.6 ประมาณ 7.1 ล้านคน ได้ดื่มเป็นเวลา 260 วัน...67 ล้านกล่อง มันแค่ 3% เท่านั้นเอง
นักการเมืองไม่ได้ตั้งใจรื้อระบบนมโรงเรียน หวังฟันเงินเปอร์เซ็นต์ จากค่ากล่องนมจากบริษัทเจ้าพ่อกล่องนมข้ามชาติ เหมือนอย่างที่ตั้งข้อสงสัยไว้
แต่พอเอามติ ครม.ในส่วนที่ไม่ได้แถลงเป็นข่าวมาคลี่ดูรายละเอียด...แบบ ค่อยๆตั้งสมาธิ เกาะเกาตีความถ้อยคำทีละประโยค ทีละบรรทัด ตามจังหวะช่องไฟ
ต้องยอมรับอิทธิพลคนขายกล่องนมช่างมากล้นด้วยบารมี สามารถดลบันดาลให้มติ ครม.ซุกกล่องนมได้เนียนมากกว่าที่คิดไว้ซะอีก
ที่บอกว่า แรกๆตั้งใจเดิมจะให้ซื้อนมกล่องแค่ 70% หรือประมาณ 2,640 ล้านกล่องนั้น...ไม่ใช่แล้ว
ตัวเลขนี้อาจจะจิ๊บๆ...แค่เบื้องต้นเท่านั้นเอง
และเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นค่อนข้างชัดว่า...เป้าหมายของโครงการนมโรงเรียนเปลี่ยนไป
ที่บอกว่ารื้อระบบนมโรงเรียนเพื่อเด็กจะได้ดื่มนมที่ดี มีคุณภาพ พัฒนาการจะได้ดี อาจจะไม่จริง...เจตนาจริงๆ ก็แค่ทำเพื่อกล่อง อย่างไร้ข้อกังขา
หลักฐานชัดเจนชิ้นแรก ชนิดที่ไม่ต้องให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม มาช่วยตรวจพิสูจน์หลักฐานแต่อย่างใด สามารถฟันธงได้ทันที
นั่นคือ...มติ ครม.ที่ให้ อ.ส.ค. จัดซื้อนมยูเอชที ให้กับเด็ก ป.5-ป.6 จำนวน 67.62 ล้านกล่อง นั่นแหละ
อ.ส.ค.มีโรงงานผลิตนมยูเอชทีเป็นของตัวเอง มตินี้เท่ากับว่า ให้เงิน อ.ส.ค.เอาไปซื้อนมของตัวเองส่งให้โรงเรียน
ประเด็นสำคัญ อยู่ตรง...ปรากฏการณ์นมบูด นมเน่า นมไม่ได้มาตรฐาน ที่กลายเป็นเหตุผลสำคัญในรื้อระบบนมโรงเรียนในวันนี้
ชื่อของ อ.ส.ค. อยู่ในบัญชี 1 ใน 3 โรงงาน ที่ผลิตนมไม่ได้ มาตรฐาน
แล้วคณะรัฐมนตรียังจะเอาเงินภาษีของประชาชน ไปซื้อนมจากโรงงานที่ผลิตนมไม่ได้มาตรฐานไปให้เด็กดื่มได้อย่างไร...จะบอกว่า ทำเพื่อเด็ก ฟังไม่ขึ้น
หลักฐานชิ้นนี้ นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ของพรรคประชาธิปัตย์เอง เป็นผู้นำเสนอหลักฐานเองว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจวิเคราะห์แล้ว เป็นเช่นนั้น
และจะอ้างว่า อ.ส.ค.เป็นวิสาหกิจของรัฐ จะถูกจะผิดก็ต้องอุดหนุนไว้ก่อนเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง...เพราะไม่ต่างอะไรกับการส่งเสริมให้ผู้กระทำผิด ได้ทำผิดต่อไป
หลักฐานชิ้นที่สอง ที่ชี้ว่าทำเพื่อกล่องเป็นหลัก...มติ ครม.ในส่วนที่เกี่ยวกับการตั้งงบประมาณ
เดิมให้เด็กอนุบาลถึง ป.4 จำนวน 5.3 ล้านคน สำนักงบประมาณตั้งงบไว้ที่ 8,436.9 ล้านบาท
นั่นเป็นรายการสั่งซื้อนมแบบเดิม ตามระบบเดิมที่จะมีการซื้อนมกล่อง 30% นมถุง 70%
แต่ถ้าเป็นกฎกติกาใหม่ ถ้าให้ซื้อนมถุง 50% นมกล่อง 50%...ต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม อีกประมาณ 604 ล้านบาท
ส่วนนโยบายใหม่ที่ให้เด็ก ป.5-ป.6 อีก 1.8 ล้านคน ได้ดื่มนมด้วย ตั้งงบใหม่ไว้ให้เสร็จสรรพ จัดซื้อเป็นนมกล่องยูเอชที ใช้งบประมาณเพิ่มเติมประมาณ 1,975 ล้านบาท
สรุปแค่ตรงนี้...อนุบาล-ป.4 ซื้อนมกล่อง 50% ป.5-6 ซื้อนมกล่อง 100% เท่ากับ ครม.มีมติให้ซื้อนมกล่องไปแล้ว 62.7%
แค่นี้ไม่พอ ครม.ยังมีมติเผื่อเหลือเผื่อขาด ในส่วนของเด็กอนุบาล- ป.4 เพิ่มเติมไว้อีกต่างหาก...ที่บอกว่าให้ซื้อนมกล่อง 50% นมถุง 50% ใช้งบประมาณเพิ่ม 604 ล้านบาท...มันแค่ครึ่งเดียว
เพราะอีกครึ่ง มติ ครม.ระบุว่า ถ้าเปลี่ยนไปใช้นมกล่องยูเอชที ในโครงการนมโรงเรียนทั้งหมด จะใช้งบประมาณเพิ่มเติม 1,330 ล้านบาท
ชัดคาตา...70% จิ๊บๆ ใจจริงอยากให้ซื้อนมกล่อง 100%
ส่วนที่ให้เหตุผลไว้สวยหรู จำเป็นต้องทุ่มซื้อนมกล่องราคาแพง แทนนมถุงพาสเจอไรซ์ ด้วยเหตุผล นมถุงมีการบูดเน่า ถุงรั่วง่าย มีการสูญเสียประมาณ 2%
คนไม่รู้อาจจะเชื่อว่าจริง...แต่คนรู้จริงสงสัย ถุงกับกล่องอันไหนมีอัตราเน่าเสียมากกว่ากัน?
หลักฐานอันดับแรก...ปฏิเสธไม่ได้ ปัญหานมโรงเรียนที่เกิดขึ้น จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นที่ ร.ร.ปากเลข อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร...นมถุงเป็นตัวปัญหาจริง
แต่หลังจากนั้น ใช่จะมีนมถุงอย่างเดียวที่มีปัญหาบูดเน่า ไม่ได้มาตรฐาน... นมกล่องก็ใช่น้อยหน้า ตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมาเป็นข่าวมากกว่าซะด้วย แต่กลับถูกมองข้ามไปเหมือนตั้งใจไม่เห็น
นมเสียก่อนหมดอายุ ที่กำแพงเพชร อุตรดิตถ์...นมบูดหนอนขึ้น ที่ภูเก็ต... ดื่มแล้วท้องเสียที่ชัยนาท
ระยอง, ตาก, ปัตตานี, อ่างทอง นมโรงเรียนมีปัญหา ล้วนแต่เป็นนมกล่องทั้งสิ้น...
โทษแต่นมถุง นมพาสเจอไรซ์ ได้อย่างไร
กล่องถุงบูดเน่าไม่แพ้กัน...ตัวเลขใช้นมถุงแล้วสูญเสีย 2% มาจากไหน
ที่สำคัญสูญเสีย 2% หนักหนาสาหัสหรืออย่างไร...ทีข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น ขอค่าหัวคิว 10-15% จากการประมูลซื้อนมโรงเรียนนั้น อย่างไหนจะสูญเสียกว่ากัน
ถ้าไม่จ่าย 10-15% นี้...ต่อให้ชนะประมูล ก็ยากที่จะหาคนเซ็นชื่อเบิกเงินได้ เพราะเป็นสันดานปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้างของประเทศไทย
ตรงนี้ต่างหาก...ที่สูญเสียมากกว่า
และเป็นต้นเหตุของนมบูดนมเน่า รวมไปถึงนมไม่ได้มาตรฐาน เพราะต้องผสมลดคุณภาพ จะได้นำไปเป็นเงินค่าเปอร์เซ็นต์หัวคิวเบิกเงิน
แต่ที่ไม่สนใจจะแก้ ไล่จับกันเพราะพวกๆ กันใช่หรือไม่...ข้างล่างกินหัวคิวกัน ข้างบนขอแค่ค่ากล่อง...แบ่งๆกันไปเท่านั้นเอง.