ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Wednesday, 18 February 2009

งบ ปจว. สองพันล้านของกองทัพสูญเปล่า ไม่มีทางเปลี่ยนใจคนได้แน่นอน

ที่มา thaifreenews

บทความโดย...ลูกชาวนาไทย

ผมได้รับข่าวจากแหล่งข่าวที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือได้ยืนยันว่า ทหารจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อทำสงครามจิตวิทยา อย่างเต็มที่ ตามที่เราได้รับทราบมาก่อนแล้วว่า มีการของบประมาณ 2000 ล้านบาท เพื่อการนี้

ที่แหล่งข่าวเล่าให้ฟัง กิจกรรมที่ทหารจะดำเนินการสงครามจิตวิทยาทางเว็บไซต์ต่างๆ ในอินเตอร์เน็ตคือ จะมีการระดมทหารมาโพสต์ตามเว็บบอร์ดต่างๆ เพื่อให้กระทู้ต่างๆ ตกไปอย่างรวดเร็ว โดยจะโพสต์แบบมีสาระหรือไม่มีก็ตาม และระดมทหารเข้าไปตามเว็บต่างๆ เพื่อทำสงคราม ปจว.เต็มที่ ส่วนกิจกรรมอื่นๆ ในชนบท คงมีการระดมทหารออกพื้นที่ เพื่อทำ ปจว. เปลี่ยนใจชาวบ้านให้หันมาสนับสนุน ระบอบอำมาตรยาธิปไตย และพยายามขจัดระบอบทักษิณออกไปจากใจชาวบ้านให้ได้

แหล่งข่าวผมค่อนข้างวิตกกังวลกับข่าวนี้มาก เพราะทหารเอาจริงแน่ เลยปรารภกับผมด้วยความไม่สบายใจ

เมื่อได้ยินข่าวนี้ ผมกลับคิดตรงกันข้าม ผมไม่ค่อยได้วิตกกังวลกับข่าวนี้เลย แม้ผมจะเชื่อว่าข่าวนี้เป็นข่าวจริงก็ตาม เพราะผมเชื่อว่า "ค่านิยมพื้นฐาน" หรือ Paradigm ทางการเมืองในสมองของประชาชนยุคปัจจุบันได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยยะสำคัญแล้ว เรียกว่า "ความเชื่อพื้นฐาน" ของประชาชนได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่เหมือนกับความเชื่อของประชาชนในยุค ปี 2520-2530 แล้ว การจะทำสงคราม ปจว. กับคนชนบท หรือคนเมืองด้วยวิธีการแบบเดิม ๆ ย่อมไม่ได้ผลอีกต่อไป แต่จะมีผลลบต่อองค์กรที่ดำเนินการด้วยซ้ำ เพราะทหารตามไม่ทันกับการพัฒนาทางด้านความคิดของประชาชน

คนไทยยุคใหม่ ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มใหม่ ไม่ใช่กลุ่มเดียวกับคนยุคปี 2520 ได้รับการศึกษาจากระบบโรงเรียนสมัยใหม่ ระบบความเชื่อและระบบความคิดไม่เหมือนเดิม ประชาชนเหล่านี้ไม่ได้เชื่อระบบจักรวาลวิทยา แบบไตรภูมิพระร่วงที่มี "กษัตริย์" เป็นศูนย์กลางจักรวาลเหมือนสมัยก่อนปี 2500 อีกแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะยังคงรักนับถือกษัตริย์อยู่ก็ตาม แต่ไม่ได้เชื่อว่ากษัตริย์ เป็นศูนย์กลางอีกต่อไปแบบยุคดั้งเดิม

คนไทยยุคนี้กับเชื่อแบบที่เราๆ ท่านๆ ในเว็บบอร์ดทั้งหลายเชื่อกัน และคนชนบท ปีนี้ ก็ไม่ใช่คนชนบทยุคเดียวกับปี 2520 อีกเช่นกัน

ผมจึงยังคงสงสัยอยู่ว่า การทำ ปจว. ครั้งนี้ ทหารจะเอา "อุดมการณ์ทางการเมือง" อะไรที่เหนือกว่า เสรีภาพ ความเท่าเทียมกัน สิทธิในการเข้าถึงทรัพยากร และประชาธิปไตย ที่เป็นค่านิยมพื้นฐาน หรือระบบความเชื่อของคนยุคนี้ เมื่อไม่มีระบบความเชื่อที่เหนือกว่า ไปเปลี่ยนแปลง หรือชักจูงคน การทำ ปจว. ก็เสียเวลาเปล่า

ผมว่าเรื่อง "บุญบารมี" ไม่อาจเป็น "อุดมการณ์ทางการเมือง" ที่เหนือกว่าสิ่งที่ผมกล่าวข้างต้นอีกต่อไปแล้ว คนยุคนี้ไม่ได้เชื่อเรื่องบุญบารมี อะไรมากนัก เพราะแท้ที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ใช่รากฐานของชาวพุทธอย่างแท้จริง เพราะศาสนาพุทธ ที่เป็นรากฐานทางความเชื่อของคนไทย เชื่อเรื่องกรรม มากกว่า

และคนยุคนี้ สามารถเข้าถึงคำสอนของศาสนา ผ่านโรงเรียน หนังสือ หรือตำราต่างๆ มากกว่าที่จะฟังจากพระอย่างเดียว

ดังนั้น ต่อให้ทหาร จัดชุดปฏิบัติการ ปจว. ออกไปทำ ปจว. ในหมู่บ้าน ผมก็ไม่เชื่อว่าจะมีใครสนใจ ออกไปดูหนังกลางแปลง หรือดนตรีของทหาร เหมือนกับ ปี 2520 อีกต่อไป จะพูดผ่านหอกระจายข่าว ผมว่าคนก็เอาหูทวนลม เปลืองเวลาชาวบ้านที่จะละครหลังข่าว เพราะยุคนี้คนเข้าถึงโทรทัศน์ วิทยุ และอินเตอร์เน็ตแทบหมดแล้ว

ทหารที่มีแนวคิดแบบนี้คือ ทหารยุคสงครามเย็นปี 1980 โลกทรรศ์ของทหารเหล่านี้ยังไม่เปลี่ยนแปลง ทั้ง ๆ ที่ประชาชนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

ในสังคมที่เจริญแล้ว ทหารไม่ใช่เป็น กลุ่มคนที่มีความรู้มากเพียงพอที่จะชักจูงให้ชาวบ้านเชื่อตามอย่างที่กองทัพต้อ

การได้ กองทัพเป็นสถาบันที่มีความคิดทางการเมืองที่ล้าหลังด้วยซ้ำไป

ปีนี้มันปี 2009 แล้ว ไม่ใช่ปี 1980 แต่อย่างใด

เรื่องนี้ ผมเชื่อมั่นตัวเองอย่างอหังการ์ว่าแค่ผมคนเดียว ก็สามารถโต้แย้งนายทหารทั้งกองทัพได้ และผมไม่เชื่อว่า ทหารพวกนั้นจะมีอุดมการณ์ทางการเมือง หรือสังคมอะไรที่เหนือกว่าผม จนสามารถโน้มน้าวใจประชาชน ให้ยังคงหลงเชื่ออยู่กับแนวคิดดั้งเดิม โดยที่ประชาชนจะยอมยากจนต่อไปได้

ผมเชื่อมั่นอยู่อย่างหนึ่งว่า "คนชนบท" โดยเฉพาะคนรากหญ้านั้น ไม่ได้รักประชาธิปไตย และไม่ได้มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยอะไรมากมายนัก

แต่ผมไม่กังวลเรื่องแบบนี้

เพราะผมรู้ว่า คนชนบทหรือคนรากหญ้า ลงคะแนนเสียงตาม "ผลประโยชน์ที่ตัวเองได้รับ"

แต่พัฒนาการที่ก้าวหน้ากว่าคือ คนรากหญ้าเรียนรู้ว่า สิทธิในการลงคะแนนเสียง หรือหนึ่งเสียงของเขานั้นมี "ความสำคัญ" และพวกเขาเรียนรู้วิธีการลงคะแนนเป็นกลุ่ม และเลือกเป็นพรรค พวกเขาก้าวข้ามการเลือกเพื่อ ผลประโยชน์เฉพาะหน้า มาเป็นผลประโยชน์ระยะยาว ที่มากกว่า

ทั้งนี้ "ทักษิณ ชินวัตร" ได้สอนบทเรียนในภาคปฏิบัติให้แก่คนรากหญ้าอย่างแท้จริง และคนรากหญ้าได้เรียนรู้ไปแล้ว

ดังนั้น หาก "อำมาตยาธิปไตย" และทหาร จะเปลี่ยนใจคนรากหญ้าได้ ต้องเสนอผลประโยชน์ที่สูงกว่า เช่น ความอยู่ดีกินดี สวัสดิการสังคม อาชีพ การรักษาพยาบาลฟรี และการศึกษา แบบที่ทักษิณ เคยทำให้กับคนรากหญ้ามาแล้ว

การไปโปรประกันดา เรื่อง "ความจงรักภักดี" ผมไม่เชื่อว่าจะได้ผลอีกต่อไป ไม่ใช่คนรากหญ้าไม่จงรักภักดี แต่พวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีใครคิดล้มล้างอะไร หรือผมไม่คิดว่าพวกคนรากหญ้าจะคิดว่าเรื่องนี้สำคัญกว่าเรื่องปากท้องของพวกเขา ดังนั้น อุดมการณ์แบบที่เคยเอาชนะคอมมิวนิสต์ ไม่สามารถใช้กับคนรากหญ้ายุคนี้ได้อีกต่อไป

ยิ่งพวกเขาดิ้นแรงเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ยุ่งเหยิงและไปสู่จุดสุดท้ายเร็วยิ่งขึ้น

ใครจะคิดบ้างว่า หากไม่เร่งกำจัดทักษิณเมื่อสามปีที่แล้ว สถานการณ์ก็ไม่เลวร้ายลงไปเรื่อย ๆ แบบนี้ หากปล่อยไปอีกสักปีสองปี ทักษิณก็เสื่อมความนิยมลงอยู่ดี ตามนิสัยคนไทย ที่เบื่ออะไรที่ซ้ำซาก

แต่ไปกำจัดทักษิณในช่วงที่เขากำลังโด่งดัง และความนิยมสูง เขาก็เลยกลายเป็น "บุคคลอมตะ" เป็นดาวค้างฟ้า ยากที่จะทำลายได้ แม้แต่จะสังหารเขาทิ้งไป แต่ "คนอมตะในทางประวัติศาสตร์" ย่อมไม่สามารถถูกทำลายได้ ยิ่งพยายามทำลายล้าง ก็จะยิ่งสร้างความศักดิ์สิทธิ์ และชื่อของเขาให้อมตะ มากยิ่งขึ้น

ผู้ที่จ้องทำลายล้างกลับเสื่อมลงไปเรื่อยๆ

ดังที่เราเห็นหลายสถาบันเสื่อมลงไป เช่น ศาล ทหาร และ อื่นๆ ... เป็นต้น

ยิ่งคิดหาวิธีทำลายล้างทักษิณ ก็ยิ่งติดหล่ม จมดินมากยิ่งขึ้น