วันที่ 6 ส.ค.นายณัทพัช อัคฮาด น้องชายของน.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือน้องเกด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวันปทุมวนาราม ในวันรัฐใช้กำลังสลายม็อบคนเสื้อแดงราชประสงค์ เมื่อ 19 พ.ค.ปีก่อน กล่าวถึงกรณีการเผยแพร่เอกสารลับเกี่ยวกับคำสั่งขอศอฉ. ให้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์พื้นที่การชุมนุมบริเวณสะพานผ่านฟ้าและพื้นที่ ใกล้เคียง วันที่ 10 เม.ย. 53 ว่า เป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฏหมาย ดังนั้นในเรื่องนี้ตนจะตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดในคำสั่งนี้อีกครั้งว่า หน่วยงานไหนบ้างที่รับคำสั่งนี้ไปปฏิบัติการในการปราบปรามฆ่าประชาชนปีที่ ผ่านมา พร้อมทั้งจะออกมาเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพี่สาวตนและผู้ เสียชีวิตและบาดเจ็บอีกจำนวนมากในทั้ง 2 เหตุการณ์ เพราะการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนนั้นมาจากคำสั่งลับใบนี้ และวันนี้ก็ถูกเปิดเผยความจริงออกมา
นายณัทพัช กล่าวต่อว่า ผ่านมากว่า 1 ปี ผู้เสียชีวิตที่บริสุทธิ์ทั้ง 2 เหตุการณ์ในเดือน เม.ย.-พ.ค.53 เหล่านั้นก็ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม ผู้บาดเจ็บที่ไม่รู้เรื่องและไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย หรือชายชุดดำที่นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ กล่าวหาก็ได้รับความช่วยเหลือยังไม่เต็มที่ ดังนั้นในเรื่องนี้ตนจะเดินหน้าค้นหาความจริงให้ถึงที่สุด จนกว่าจะได้ตัวฆาตกรที่ฆ่าและสั่งฆ่าประชาชนนี้มาเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย
นายณัทพัช กล่าว อีกว่า จากการตรวจสอบข้อความแต่ละข้อในคำสั่งลับฉบับนี้ พบว่ามีข้อที่ 2.2 ระบุให้ใช้อาวุธต่อเป้าหมาย ในระยะ 30-50 เมตร ทั้งนี้เพื่อเป็นการควบคุมวิถีกระสุนและควบคุมความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ให้สมควรแก่เหตุและห้ามใช้อาวุธต่อเป้าหมายที่เป็นผู้หญิงและเด็ก ซึ่งตนขอตั้งคำถามว่าแล้วพี่สาวของตนที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามนั้น เป็นผู้หญิงใช่หรือไม่ นอกจากนี้ยังมี ด.ช.อีซา อายุ 14 ปี ที่ถูกยิงตายย่านบ่อนไก่ ก่อนที่ศพจะถูกนำไปฝังแบบไม่มีญาติที่สุสาน จ.ชลบุรี อยากถามว่าใช่เด็กหรือไม่ ซึ่งพี่สาวตนและน้องอีซาที่เสียชีวิตในครั้งนี้ก็เพราะคำสั่งฉบับนี้ จะต้องมีคนรับผิดชอบ
ด้านนายสำราญ วางาม บิดาของนายสวาท วางาม เหยื่อสไนเปอร์รายแรกบริเวณสี่แยกคอกวัว 10 เม.ย. 53 กล่าวว่า ลูกชายของตนก็ตกเป็นเหยื่อของคำสั่งลับศอฉ.ฉบับนี้เป็นรายแรก โดยถูกสไนเปอร์ยิงระยะไกลสมองกระจายเสียชีวิตคาที่ ซึ่งก่อนเกิดเหตุตนพร้อมลูกชายอีก 2 คนได้ไปร่วมชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านรัฐประหารร่วมกับกลุ่มคน เสื้อแดงกันมาตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. เรื่อยมาจนถึง 10 เม.ย.บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและแยกคอกวัว และในวันที่ 10 เม.ย.นี้ตั้งแต่ช่วงเช้าสถานการณ์ตรึงเครียดตลอดทั้งวัน มีเฮลิคอปเตอร์ทหารบินวนเพื่อโปรยใบปลิวให้พวกเราออกจากพื้นที่ ขณะเดียวกันก็มีคนเสื้อแดงยิงพลุตะไลขึ้นฟ้าเพื่อขับไล่เครื่องบินทหารแต่ ไม่โดนใคร จนกระทั่งช่วงเย็นถึงค่ำสถานการณ์ตรึงเครียดมากขึ้นทหารเริ่มประชิดเข้ามา ถึงคอกวัว พร้อมอาวุธนานาชนิด รวมทั้งรถหุ้มเกราะและรถถังกว่า 10 คัน มาจอดประจันหน้ากับคนเสื้อแดง และพอฟ้ามืดก็เริ่มมีเสียงปืน ขณะเดียวกันทราบว่าคนเสื้อแดงสามารถยึดอาวุธปืนทหารได้กว่า 500 กระบอก ก่อนจะนำไปที่เวทีใหญ่ สะพานผ่านฟ้า
นายสวาท กล่าวต่อว่า ช่วงประจันหน้ากับทหารที่คอกวัว พบว่าแถวหน้าส่วนใหญ่เป็นเด็กและสตรี ก็ถูกยิง ถูกแก๊สน้ำตาไปหลายคน ก่อนจะบอกให้ผู้หญิงและเด็กถอยออกมาเพื่อให้ผู้ชายเข้าไปอยู่แถวหน้าแทน ซึ่งจะเห็นว่าทหารไม่สนใจว่าจะเป็นใครก็เพราะว่าได้รับคำสั่งมาให้ยึด พื้นที่คืนให้ได้เท่านั้น ใครจะตายไม่สน ซึ่งเป็นครั้งแรกในไทยที่มีการเข้าสลายช่วงกลางคืน ซึ่งทั่วโลกไม่มีใครทำกัน อย่างไรก็ตามคำสั่ง ศอฉ.ที่ถูกเปิดเผยออกมาก็มีความชัดเจนมากขึ้นว่าใครสั่งการสลายในครั้งนี้ ในฐานะที่ตนเป็นผู้เสียหายด้วยก็ยืนยันว่าจะเดินหน้าต่อสู้เพื่อเรียกร้อง ความเป็นธรรมให้กับลูกชายต่อไป
นายสวาท กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการเสียชีวิตของลูกชายตนนั้นตนก็เกือบที่จะไม่ได้ร่างออกมาจากจุด เกิดเหตุ เนื่องจากมีกลุ่มทหารพยายามที่จะเข้ามานำเอาศพลูกชายขึ้นรถหุ้มเกราะไป แต่ถูกคนเสื้อแดงช่วยสกัดและตนก็กอดร่างลูกชายไว้แน่นจึงไม่สามารถเอาไปได้ และเห็นมีหลายร่างที่ถูกโยนเข้าไปในรถหุ้มเกราะและรถขยะสีเขียวซึ่งไม่ทราบ ชะตากรรม และทราบมาว่ามีการแจ้งคนหายช่วงการชุมนุมนี้กว่า 1,000 ราย โดยเป็นข้อมูลจากบ้านเลขที่ 111 ที่ดำเนินการเรื่องนี้อยู่
“ใน วันที่ 9 ส.ค.นี้เวลา 10.00 น.ทางพรรคเพื่อไทย ได้เรียกประชุมญาติผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 10 เม.ย.53 ที่พรรค เพื่อหารือเกี่ยวกับขั้นตอนการปณกิจศพของผู้เสียชีวิตที่ยังคงเก็บไว้ตามวัด ต่างๆ ซึ่งมีทั้งสิ้น 7 ศพ เก็บอยู่ที่วัดพลับพลาชัย 1 โดยจะมีกำหนดการเผาพร้อมกัน ในวันที่ 16 ต.ค.54 ที่วัดบำเพ็ญเหนือ ย่านมีนบุรี และในช่วงเช้าวันที่ 10 ส.ค.นี้ตนและญาติผู้เสียชีวิตรายอื่นๆ จะไปร่วมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตาย ที่วัดพลับพลาไชย 1” นายสวาท กล่าว