ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Sunday, 7 August 2011

66 ปีก่อน เมื่อฮิโรชิม่ากลายเป็นนรก

ที่มา ประชาไท

รำลึกครบรอบ 66 ปี เหตุการณ์ทิ้งระเบิดฮิโรชิม่าเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เคอิจิโร่ มัตสุชิม่า ผู้อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น บอกเล่าเรื่องราวในห้วงเวลาแห่งความพินาศและความตาย

ฮิโรชิม่าโดมใรปี ค.ศ. 1945 (ที่มาภาพ: wikipedia.org)

6 ส.ค. 54 - เมื่อ 66 ปีที่แล้ว เมืองฮิโร่ชิม่าหมกไหม้ไปด้วยเพลิงนรกเมื่อสหรัฐฯ ตัดสินใจทิ้งระเบิดนิวเคลียร์

เคอิจิโร่ มัตสุชิม่า ยังคงอายุ 16 ปี ในช่วงเวลานั้น เมื่อเขาได้เห็นการโจมตีที่ปลิดชีวิตผู้คน 100,000 คนในวันเดียว

เคอิจิโร่เล่าย้อนความทรงจำว่าในวันที่ 6 ส.ค. 1945 นั้นเป็นวันที่อากาศสดใส ท้องฟ้าเป็นสีคราม เขาเพิ่งกลับมาเรียนหนังสือเมื่อสัปดาห์ก่อนหลังจากที่เขาและเพื่อนต้องถูก เกณฑ์ให้ไปทำงานหนึ่งปีครึ่งในโรงงานผลิตเครื่องแบบทหาร

ในตอนเช้า 8.15 น. ของวันนั้น ชั้นเรียนของเขาเพิ่งเริ่มขึ้น เขากำลังฟังครูอธิบายโจทย์แคลคูลัสเชิงอนุพันธ์และเชิงปฏิพันธ์

"ผมมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วเห็นเครื่องบินทิ้งระเบิด B-29 ของอเมริกา 2 ลำ ในใจก็คิดว่า 'เครื่องบินพวกอเมริกันอีกแล้ว' เดาว่าเครื่องบินพวกนั้นคงแค่ออกบินลาดตระเวนตามปกติ"

แต่พอเขาหันกลับมาที่ตำราเรียน ก็เกิดระเบิดขึ้น

"มีแสงสว่างจ้าและคลื่นความร้อนมหาศาล โลกทั้งใบกลายเป็นสีส้ม ผมรู้สึกเหมือนถูกโยนเข้าไปในเตาอบชั่วขณะหนึ่ง"

ต่อมาเขาถึงรู้ว่าอุณหภูมิที่จุดระเบิดตกห่างจากโรงเรียนของเขา 2 กม. นั้นสูงถึงระดับ 3,000 องศาเซนติเกรด

'คุณพระช่วยลูกด้วย'

แสงสว่างจ้าตามมาด้วยเสียงปะทุสนั่นหวั่นไหว จนถึงบัดนี้มัตสุชิม่ายังไม่อาจระบุแย่ชัดว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียง จากระเบิดหรือเสียงของอาคารที่พังทลาย

"ผมปิดหูปิดตาแล้วกระโดดหลบลงไปใต้โต๊ะ" เขากล่าว

"ทุกอย่างเป็นสีดำสนิท ผมไม่เห็นอะไร มีเด็กอยู่มากในห้องเรียนแต่ไม่มีใครหวีดร้อง"

"ทุกอย่างเงียบสงัด ผมคลานไปมา ในใจร้องว่า 'แม่จ๋าช่วยลูกด้วย คุณพระช่วยลูกด้วย' เป็นครั้งแรกเลยที่ผมสวดภาวนาถึงพระพุทธ"

มัตสุชิม่าบอกว่าตัวเองเป็นผู้มีชีวิตรอดที่โชคดีที่สุดคนหนึ่ง เขามีแผลถูกเศษกระจกบาดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงใดๆ เลย

"ผมคิดว่ามันจะเป็นแค่ระเบิดธรรมดาลูกเดียว แต่เมื่อผมออกไปดู ผมก็ตกตะลึงที่ได้เห็นตึกราบ้านช่องถูกทำลาย ผมคิดว่า 'มันแค่เครื่องบินสองลำนี่ พวกมันทำอะไรไว้' "

เพื่อนของเขาคนหนึ่งมีแผลเป้นรอยตัดใหญ่ที่ศรีษะ มัตสุชิม่าใช้เศษผ้าช่วยผิดบาดแผลไว้ และคอยพยุงเพื่อนขณะที่พาเขาเดินช้าๆ ไปยังสถานพยาบาลของสภากาชาด

'ขบวนภูติผี'

สิ่งก่อสร้างต่างๆ มีเพลิงโหมไหม้ เด็กทั้ง 2 คนพบคนบาดเจ็บจำนวนมากเดินไปตามทางรถราง ห่างจากจุดระเบิดใจกลางเมือง

"ผมของพวกเขาลุกตั้งชัน บางคนเสียเส้นผมของพวกเขาไป" มัตสุชิม่าย้อนรำลึก

"บางคนมีแผลไหม้เต้มตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า มีหนังลอกออกมาจากหัว เสื้อเป็นรอยไหม้ บางคนแทบเปลือย"

"ตอนนั้นในใจผมคิดว่า 'ฮิโรชิม่ากำลังจะตาย' "

"ผมมองเห็นกล้ามเนื้อสีแดงใต้ผิวหนังของพวกเขา พวกเขายื่นแขนออกมาข้างหน้ากันหมด อาจจะเพราะแผลของพวกเขาก็ได้ พวกเขาเดินช้าๆ เป็นแถวๆ นับร้อยคน ราวขบวนของภูติผี"

แต่ก็มีคนอีกจำนวนมากที่เดินไม่ได้อีกต่อไป

"ผู้คนพากันคลานไปที่แม่น้ำ ร้องเรียกหาน้ำเพื่อทำให้แผลไหม้ของพวกเขาเย็นลง แต่มีคนจำนวนมากที่เสียชีวิตอยู่ริมตลิ่งหรือไม่ก็จมน้ำ แม่น้ำถึงเต็มไปด้วยซากศพ"

มัตสุชิม่าเล่าว่า โรงพยาบาลของของสภากาชาดเองก็ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด มีเพียงแพทย์และพยาบาลเพียงจำนวนเล็กน้อยที่แม้ตัวพวกเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็พยายามรักษาผู้ป่วยนับร้อยราย

เมื่อรู้ว่าไม่มีใครที่สามารถช่วยพวกเขาได้ มัตสุชิม่าและเพื่อนเขาก็เดินออกไป พวกเขาโชคดีพอที่มีรถกู้ภัยผ่านมารับเพื่อพาไปรักษาที่โรงพยาบาลนอกตัวเมือง

ในระยะ 2 กม. ที่จุดระเบิดตก อาคารแทบทั้งหมดไหม้เป็นเถ้าถ่าน และพังราบ

เมืองยุทธศาสตร์

ฮิโรชิม่าเป้นเมืองที่มีบทบาทสำคัญในทางยุทธศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ สอง ในการเป็นโรงงานผลิตอุปกรณ์ทางการทหารและมีศูนย์บัญชาการกองทัพอยู่จำนวน หนึ่ง

มีประชากรอยู่ราว 400,000 คน ในช่วงที่มีการทิ้งระเบิด ผู้อาศัยส่วนใหญ่ถูกใช้ให้ทำงานในโรงงานของทหาร รวมถึงชาวเกาหลีและแรงงานที่ถูกบังคับรายอื่นๆ แรงงานที่ถูกบังคับเหล่านี้รอดพ้นจากการถูกกดขี่ภายใต้สภาวะการทำงานที่โหด ร้ายเพียงเพื่อจะมาถูกสังหารด้วยระเบิด

แม่ของมัตสุชิม่าอพยพออกจากเมืองเมื่อต้นปีนั้นหลังจากที่สามีเสียชีวิต

หอพักที่มัตสุชิม่าพักอยู่ถูกทำลายไป เขาออกจากฮิโรชิม่าด้วยการเดินเท้า และไปขึ้นรถไฟกู้ภัยได้หลายกิโลเมตรห่างจากเมือง เขาเดินทางไปยังบ้านแม่ในชนบท

เมื่อแม่ของเขาเห็นควันรูปดอกเห็ดลอยอยู่เหนือเมือง เธอก็คิดไปก่อนแล้วว่าลูกชายของเธอคงเสียชีวิต

วันถัดจากนั้น มัตสุชิม่าล้มป่วยอย่างหนัก มีไข้และท้องเสีย แต่ก็อาการดีขึ้นในสัปดาห์ต่อมา เขาคิดว่าเป็นเพราะเขาอยู่ห่างจากเมืองในช่วงที่มีภัยทำให้เขารอดจากการถูก กัมมันตภาพรังสี

ขณะที่มีอีกหลายคนที่ยังคงอยู่ในฮิโรชิม่าเพื่อช่วยกู้ภัยหรือไม่ก็ตามหา ญาติพี่น้องหรือคนรัก โดยไม่รู้เลยว่าพวกเขากำลังอยู่กับภัยอันตรายอีกอย่างหนึ่ง

"ผมล้มป่วยลงอีกหลายครั้ง แต่ก็ต้องขอบคุณพระพุทธเจ้า ที่ผมยังคงมีชีวิตอยู่" มัตสุชิม่ากล่าว

บูรณะเมือง

การที่ระเบิดนิวเคลียร์ถูกทิ้งในช่วงฤดูร้อนยิ่งทำให้การฟื้นตัวของผู้ป่วยช้าลงไปอีก มีหลายคนที่แผลติดเชื้อ

"พวกเขามีหนอนออกมาจากแผล แล้วใช้ตะเกียบคีบมันออก แล้วก็ตายไปทีละคน ทีละคน" มัตสุชิม่าเล่า พลางส่ายหัวไปมาให้กับความทรงจำที่น่าเศร้า

3 วันหลังจากฮิโรชิม่าถูกโจมตี มีระเบิดนิวเคลียร์อีกลูกถูกทิ้งที่นางาซากิ

หลังจากที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามในวันที่ 15 ส.ค.เท่านั้น ชาวญี่ปุ่นถึงได้รู้ว่า สหรัฐฯ ใช้ระเบิดอะไรทิ้งใส่พวกเขา

จนถึงปลายปี 1945 มีชาวฮิโรชิม่า 140,000 คนเสียชีวิตโดยเกี่ยวเนื่องกับระเบิด ทั้งผู้ที่ถูกสังหารจากแรงระเบิดและผู้ที่เสียชีวิตในเวลาต่อมาจากการถูก กัมมันตภาพรังสี ขณะที่ในนางาซากิ มีผู้เสียชีวิตมากถึง 80,000 ราย

ฮิโรชิม่าในทุกวันนี้กลายเป็นเมืองสมัยใหม่ที่ได้รับการบูรณะ มีประชากรราวหนึ่งล้านคน มีสถานที่เรียกว่า "เอ-บอมบ์โดม" ที่เป็นสถานที่รำลึกถึงเหตุการณ์ทำลายล้างในครั้งนั้น อาคารแห่งนี้เคยถูกใช้เป็นสถานจัดนิทรรศการในช่วงสมัยที่ถูกทิ้งระเบิด มีเพียงโครงสร้างของอาคารที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดอยู่หลังจาก ที่ระเบิดถูกทิ้งลงตรงอาคารที่พอดี

แม้ว่าการโจมตีในครั้งนั้นจะสร้างความทุกข์ทรมานให้ แต่มัตสุชิม่าก็ไม่มีความรู้สึกแย่ๆ ต่อชาวอเมริกัน

"คนเราทำอะไรบ้าๆ ในสงครามเพียงเพื่อจะกำจัดศัตรู ถ้าหากญี่ปุ่นมีระเบิดนิวเคลียร์ พวกเราก็อาจจะใช้เหมือนกัน การโต้เถียงเรื่องในอดีตนั้นไร้สาระ ในตอนนี้พวกเราควรร่วมมือกันกำจัดระเบิดนิวเคลียร์ให้หมดไป"

ที่มา:

The day Hiroshima turned into hell, Aljazeera, 06-08-2011
http://english.aljazeera.net/indepth/2011/08/20118514019236497.html