โดย bozo
เอกสารลับของ “วิกิลีกส์” ที่เปิดเผยโทรเลขของนายอีริค จี. จอห์น
เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ที่ส่งรายงานไปยังกรุงวอชิงตัน
ฉบับลงวันที่ 20 กันยายน 2549, 1 ตุลาคม 2551, 6 พฤศจิกายน 2551, 25 มกราคม 2553
และมีการเสนอผ่านหนังสือพิมพ์ “เดอะการ์เดี้ยน” ของอังกฤษเมื่อกลางดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ทำให้การเมืองไทยสั่นสะเทือนอย่างมาก
เพราะมีเนื้อหาที่สำคัญและน่าสนใจอย่าง ยิ่งเกี่ยวกับการเมืองไทย
ทั้งก่อนและหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และมีการนำไปยึดโยงกับสถาบันเบื้องสูง
อย่างที่นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เขียนบทความ
“บันทึกว่าด้วยโทรเลขวิกิลีกส์ (1) : พลเอกสนธิบอกทูตอเมริกันเรื่องเข้าเฝ้าฯคืนรัฐประหาร” ว่า
เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง
เพราะเป็นการประเมินสถานการณ์รัฐประหารของทูตสหรัฐ
หลัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร เข้าเฝ้าฯ ซึ่งต้องมีการวิเคราะห์ ตีความ
และนำเข้าสู่การเรียบเรียงเป็นการนำเสนอในรูปแบบงานเขียนหรือการพูดอภิปราย
จึงจะมีความหมายสมบูรณ์โดยแท้จริง
“ในบันทึกสั้นๆข้างล่างนี้ (ต้นฉบับภาษาอังกฤษของสถานทูตสหรัฐ)
และในบันทึกฉบับอื่นที่หวังว่าจะตามมาในอนาคตอันใกล้
ผมจะได้พยายามนำเสนอข้อความหรือเนื้อหาในโทรเลขวิกิลีกส์ทั้ง 4 ฉบับเท่าที่จะทำได้
ภายใต้ข้อจำกัดของกฎหมายที่เป็นอยู่
เริ่มต้นด้วยโทรเลขฉบับแรกที่กล่าวถึงการเข้าเฝ้าฯในคืนวันรัฐประหาร”
ความจริงแค่ 5-6 บรรทัด
นายสมศักดิ์ยังระบุว่า
โทรเลขมีความสำคัญเกินกว่าที่จะปล่อยให้ตกอยู่ภายใต้ความเงียบเกือบจะโดยสิ้นเชิง
อย่างที่เป็นอยู่ในสื่อสาธารณะขณะนี้
โดยโทรเลขลงวันที่ 20 กันยายน 2549 ทูตสหรัฐได้รายงาน
การพบปะพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับ พล.อ.สนธิเมื่อบ่ายวันที่ 20 กันยายน 2549
การสนทนาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันมีเพียงสั้นๆ 5-6 บรรทัด
“ผมได้เริ่มต้นด้วยการถามสนธิเกี่ยวกับการเข้าเฝ้าฯในหลวงเมื่อคืนนี้ มีใครเข้าเฝ้าฯบ้าง?
สนธิกล่าวว่าประธานองคมนตรีเปรม ติณสูลานนท์ ได้นำเขา ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
เรืองโรจน์ (พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์) และ
ผู้บัญชาการทหารเรือ สถิรพันธุ์ (พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์) เข้าเฝ้าฯ
สนธิเน้นว่าพวกเขาเป็นฝ่ายถูกเรียกเข้าไปในวัง เขาไม่ได้เป็นฝ่ายพยายามขอเข้าเฝ้าฯ...
เขาไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม”
ทูตสหรัฐกับ 3 ผู้อาวุโส?
แต่บันทึกที่สำคัญคือฉบับลงวันที่ 25 มกราคม 2553 จำนวน 15 ย่อหน้า
ที่เป็นบันทึกภายหลังจากทูตสหรัฐพบกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี
พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี และนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี
และมีการนำไปรายงานผ่านหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดี้ยนนั้นเป็นเอกสาร
ที่วิกิลีกส์เผยแพร่เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ตามเอกสารหมายเลข
“S E C R E T SECTION 01 OF 03 BANGKOK 000192”
ซึ่งทูตสหรัฐระบุว่า
ได้สนทนากับ พล.อ.เปรมในระหว่างการรับประทานอาหารกลางวันเมื่อ วันที่ 13 มกราคม 2553
โดยก่อนหน้านี้ได้สนทนากับ พล.อ.อ.สิทธิที่บ้านพักเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2553
และ สนทนากับนายอานันท์เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2552
ในเอกสารการสนทนามีหัวข้อสำคัญหลายหัวข้อ
ทั้งเรื่องการตั้งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เรื่องอำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสมเด็จฮุน เซน
นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ข้อมูลดังกล่าวจะจริงเท็จอย่างไร
บุคคลที่อยู่ใน บันทึกทั้ง 4 คนคือ ทูตสหรัฐ พล.อ.เปรม พล.อ.อ.สิทธิ และนายอานันท์ ต้องตอบสังคมเอง
แต่ในทางการเมืองแล้วถือว่าบันทึกดังกล่าวเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมือง
ที่นำมาซึ่งเหตุผลในการโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ การทำรัฐประหาร 19 กันยายน
การผลักดันให้นายอภิสิทธิ์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
รวมถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่มีนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นแกนนำสำคัญ
พันธมิตรฯยั่วยุให้รัฐประหาร
ขณะที่หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดี้ยนได้เผยแพร่
เอกสารหมายเลข “S E C R E T SECTION 01 OF 03 BANG- KOK 003317”
ซึ่งเป็นบันทึกลับทางการของทูตสหรัฐ ลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2551
ที่ได้จากวิกิลีกส์มีเนื้อความ ตอนหนึ่งระบุว่า
แหล่งข่าวของเอกอัครราชทูตสหรัฐผู้หนึ่ง ซึ่งในบันทึกที่เผยแพร่ได้ลบชื่อออก
และใส่ชื่อว่า “XXXXXXXXXXXX” เชื่อว่ากลุ่มพันธมิตรฯมุ่งทำให้เกิดเหตุการณ์ปะทะรุนแรง
เพื่อจุดชนวนการรัฐประหาร
แหล่งข่าวผู้นี้อ้างว่า
เขาได้รับประทานอาหารค่ำกับแกนนำพันธมิตรฯผู้หนึ่งในวันที่ 6 ตุลาคม 2551
แกนนำผู้นี้เล่าว่า พันธมิตรฯจะยั่วยุให้เกิดเหตุรุนแรงในการประท้วงในวันที่ 7 ตุลาคม
ที่หน้าอาคารรัฐสภาและได้คาดการณ์ว่ากองทัพจะเข้ายึดอำนาจในวันที่ 7 ตุลาคม
“แหล่งข่าวผู้นี้ยืนยันกับเราว่าพันธมิตรฯยังคงมีเจตนาที่จะสร้างเหตุขัดแย้ง
เพื่อให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 24 คน
ซึ่งจะทำให้การเข้าแทรกแซงของทหารดูเป็นสิ่งจำเป็นและมีความชอบธรรม” บันทึกระบุ
พันธมิตรฯอัด “วิกิลีกส์” เต้าข่าว
ขณะที่นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวถึงข้อมูลของวิกีลิกส์ว่า
เต้าข่าวขึ้นมาโดยไม่มีมูลความจริง เพราะไม่มีการให้สัมภาษณ์หรือการนัดรับประทานอาหาร
ระหว่างแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯกับทูตสหรัฐ และกลุ่มพันธมิตรฯไม่มีทางพูดในลักษณะนั้นอยู่แล้ว
ข่าวดังกล่าวจึงไม่ส่งผลกระทบอะไรกับพันธมิตรฯ เพราะมวลชนรู้จักเราดีพอ
ในช่วงเหตุการณ์ดังกล่าวทุกคนอยู่ด้วยกัน รู้ว่าใครเป็นอย่างไร
“ผมไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่เรื่องทั้ง หมดที่เสนอในเว็บไซต์เป็นเรื่องเท็จ
ใช้ข้อมูลที่คิดขึ้นมาแล้วมาพูดเองเออเอง ทั้งนี้ ข้อมูลที่ผ่านมาในเว็บไซต์ดังกล่าว
ก็ถือว่ามั่วอยู่แล้ว เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ไม่น่าเชื่อถือ”
ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ อดีตผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวว่า
ไม่มีแกนนำพันธมิตรฯคนไหนเคยไปเจอนายอีริค จี. จอห์น
และเหตุการณ์ 7 ตุลาคมเป็นเหตุการณ์ที่รัฐเข้าล้อมปราบปรามประชาชน
ทำให้ประชาชนบริสุทธิ์ต้องล้มตาย ตอนนี้ยังหาตัวคนทำผิดไม่ได้
“ส่วนจะมองว่าเป็นการดิสเครดิตกลุ่มพันธมิตรฯหรือไม่นั้น
ผมคิดว่าไม่มีใครวางแผนอะไรแบบนั้นหรอก ส่วนเจตนาของวิกิลีกส์ก็แล้วแต่คนจะคิด
มันตลกและเป็นไปไม่ได้ คิดว่ามีเจตนาจะโปรโมตเว็บไซต์ตัวเอง
โดยการหยิบเอาเรื่องที่เป็นที่สนใจของสังคมมานำเสนอ เป็นเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ”
อัดสื่อ “หมาข้างถนนงับคริสปี้”
ขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ถึงเว็บไซต์วิกิลีกส์กรณีเผยแพร่เอกสารลับ
ซึ่งตอนหนึ่งพาดพิงถึง พล.อ.เปรมว่า ไม่มีทางที่ พล.อ.เปรมจะกล่าวกับนักการทูตแน่นอน
“ตอนที่เมืองไทยมีปฏิวัติ 19 กันยา พวกนี้จะหาเหตุว่า
ใครเป็นคนทำให้มีการปฏิวัติ ใครเป็นคนสั่ง ใครอย่างโน้นอย่างนี้
แต่คนพวกนี้เนื่องจากว่าเป็นเอกสารที่เหมือนผมไปคุยกับแอน (พิธีกรร่วม)
สมมุติว่าแอนสนิทสนมกับนายพลคนหนึ่งซึ่งมีอำนาจ
ผมคุยกับแอนเสร็จก็มาพิมพ์รายงาน
ระหว่างที่ผมพิมพ์ผมไม่จำเป็นต้องใส่ชื่อว่าผมคุยกับแอน
ผมสามารถใส่ว่าผมคุยกับนายแอน ใครจะรู้ล่ะ
เพราะเอกสารนี้ถูกส่งโดยตรงผ่านเอกอัครราชทูตเอ็นคริป ใส่รหัส เข้าสเตท ดีพาร์ตเมนต์ ก็คือ
กระทรวงต่างประเทศเขา มีแต่พวกเขารู้เท่านั้นเอง ฉะนั้นแล้วมันจึงเป็นเอกสาร
ซึ่งพอวิกิลีกส์แฉออกมา มันไปแฮคข้อมูลออกมา เลยกลายเป็นว่า
ทูตคนนี้คุยกับ พล.อ.เปรม ทูตคนนี้คุยกับ พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา
ผมจะบอกให้ ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราไม่ซี้ซั้ว อย่าง พล.อ.เปรมท่านไม่ซี้ซั้วคุยอย่างนี้หรอก
ธรรมดาคนใกล้ชิดท่านยังไม่คุยเลย”
นายสนธิยังกล่าวว่า มีคนอยู่ประเภทหนึ่งในทุกสังคม สังคมไทยก็มี ประเภทสอดรู้สอดเห็น เสือกทุกเรื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนซึ่งเคยอยู่ในรัฐบาล
คนซึ่งเคยมีชื่อเสียง มีความรู้สึกว่าทูตอเมริกันมาคุยกับฉันสุดยอด เป็นคนสำคัญ
พอมาคุยแล้วทูตอเมริกันหรือซีไอเอก็จะรู้ว่าไอ้หมอนี่สนิทสนมกับรัฐบุรุษคนนี้
อาจจะสนิทกับ พล.อ.เปรมหรือ พล.อ.สนธิ “เฮ้ย 19 กันยา สนธิเขาว่าอย่างไร
อ๋อ นายผมเหรอ เขาเล่าให้ฟังอย่างนี้ ทีนี้เวลารายงานมันจะรายงานว่ามันคุยกับลูกน้อง
พล.อ.สนธิเหรอ มันก็บอกว่ามันคุยกับ พล.อ.สนธิ นี่คือที่มา
ทีนี้ไอ้คนไทยที่มันยังไม่ฉลาด ไม่ลึกซึ้ง ไม่รู้วิธีการทำงานเขา
พอเห็นข้อมูลมาก็กระโดดงับเลย เหมือนหมาข้างถนนงับคริสปี้
พอมันเป็นเคเบิลมาจากสเตทดีพาร์ตเมนต์ แล้ววิกิลีกส์มันแฉออกมา ทุกคนที่ได้บอกว่าของจริง
โดยไม่คิดว่าที่มาของข้อมูลเป็นอย่างไร วิธีการหาข้อมูลของเขา เป็นอย่างไร
พอรู้เรื่องกระบวนการทั้งหมดแล้วถึงจะเข้าใจว่าข้อมูลทั้งหมดที่ส่งไปผมว่าจริงอย่างมากไม่เกิน 20-30%”
ความจริงที่ต้องทำเป็นมองไม่เห็น
เอกสารลับดังกล่าวจะจริงหรือเท็จอย่างไร ผู้ที่ถูกกล่าวถึงคงต้องออกมาชี้แจงหรือตอบสังคมเอง
อย่างที่แกนนำพันธมิตรฯตอบโต้ดังกล่าว
แต่อย่างน้อยวิกีลิกส์ก็ทำให้ผู้มีอำนาจในประเทศไทยต้องตระหนักถึงการกระทำต่างๆที่ไม่ชอบธรรม
และการประพฤติชั่วต่างๆ โดยเฉพาะพวก “หน้าไหว้หลังหลอก” หรือ “โจรในคราบผู้ดี”
ที่ทำให้คนไทย “ตาสว่าง” และรู้ถึงความน่ากลัวของการเมืองไทยที่มีทั้งมุมมืดและมุมสว่าง
ซึ่งไม่สามารถนำมาเปิดเผยหรือพูดในพื้นที่สาธารณะได้
รวมทั้งสื่อเองก็ต้องทำเป็นตาบอด เป็นใบ้ หูหนวก
แต่กลับถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกอย่างตรงไปตรงมาตามเว็บไซต์ต่างๆ
ในขณะที่คนไทยต้องทำเป็น “ปิดตาข้างเดียว” หรือมองอะไรไม่เห็น หรือเห็นไม่ชัด
เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยเป็นสำคัญ
เช่นเดียวกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ
กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เปิดเผย
บันทึกการสอบสวนและสำนวนชันสูตรพลิกศพเหตุการณ์สลายการชุมนุม
ระหว่างวันที่ 10 เมษายน-19 พฤษภาคม 2553 ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) 4 กรณีคือ
1.การตายของประชาชนในวัดปทุมวนาราม
2.การตายของผู้สื่อข่าวญี่ปุ่น
3.การตายของเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ดุสิต
4.การตายของพลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ
ซึ่งมีหลักฐานระบุชัดเจนทั้งหัวกระสุนและพยานบุคคลว่ามีเจ้า-หน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง
แม้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ จะออกมาปฏิเสธและกล่าวหาว่า
นายจตุพรมีพฤติกรรมยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานและขัดขวางการทำงานของพนักงานสอบสวน
ทั้งที่ครั้งแรกยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนสอบสวนจริง แต่เป็นเพียงบางส่วนในสำนวนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเว็บไซต์ประชาไท (www. prachatai3.info) ได้ตีพิมพ์เอกสารดังกล่าว โดยระบุว่า
ได้รับจากแหล่งข่าวที่ไม่อาจเปิดเผย เป็นบันทึกการสอบปากคำพยานและผู้เกี่ยวข้อง
ในเหตุการณ์สังหารประชาชน 6 ศพภายในวัดปทุมวนารามเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม
โดยหัวกระดาษระบุว่าเป็นเอกสารของดีเอสไอ
แต่จะเป็นเอกสารฉบับเดียวกับที่นายจตุพรกล่าว อ้างและนายธาริตปฏิเสธหรือไม่นั้น
เอกสารดังกล่าวก็ทำให้เห็นปัญหาสิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรมของประชาชน
ที่กลายเป็นเหยื่อของผู้มีอำนาจ ซึ่งเอกสารดังกล่าวยังระบุถึงพยานเอกสาร เช่น
รายงานการชันสูตรพลิกศพ หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์
คำสั่งศูนย์ปฏิบัติการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ
สำเนาบัญชีเบิกจ่ายอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ฯลฯ
แผ่นซีดีจากพยานและพยานวัตถุ เช่น ปลอกกระสุนและกระสุนปืน ฯลฯ
ความจริง 91 ศพ
เอกสารหลักฐานการชันสูตรศพดังกล่าวที่ระบุว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาล ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)
และผู้นำกองทัพต่างพยายามให้ข่าวและยืนยันตลอดมาว่า
ทหารไม่ได้ยิงประชาชน ไม่ได้ฆ่าประชาชน
แต่ระบุว่าผู้เสียชีวิตส่วนหนึ่งเกิดจาก “ไอ้โม่งชุดดำ”
และใช้กล่าวหาแกนนำ นปช. รวมถึงคนเสื้อแดงหลายร้อยคน ก่อนจับมาดำเนินคดีและคุมขังนั้น
ความจริงต่างๆกำลังจะถูกเปิดเผยและปิดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
เพราะนอกจากรัฐบาลไม่เคยจับ “ไอ้โม่งชุดดำ” ได้
ทั้งข้อสงสัยเรื่อง “ใครเผาเซ็นทรัลเวิลด์กันแน่”
กำลังเป็นหอกคำถามที่พุ่งกลับเข้าใส่รัฐบาลอภิสิทธิ์
เหมือนเอกสารลับของวิกีลิกส์เกี่ยวกับการทำรัฐประหาร 19 กันยา และการยึดกุมอำนาจต่างๆ
ไม่เพียงทำให้สังคมไทยมีคำถามกับผู้อาวุโสต่างๆที่มีอำนาจทั้งในระบบและนอกระบบว่าจริงหรือเท็จเท่านั้น
แต่ยังสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
หรือเป็นประชาธิปไตยภายใต้ “รัฐทหาร” ที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินและ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ
ใครคุมใคร?
เพราะวันนี้เสียงของผู้นำรัฐบาลกับเสียงของผู้นำกองทัพแตกต่างกันสิ้นเชิง
แม้นายอภิสิทธิ์จะปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นรัฐบาลหุ่นเชิดหรือรัฐบาลนอมินี
อย่างที่ให้สัมภาษณ์ “เอเชียไทม์ออนไลน์” เมื่อไม่นานมานี้ว่า
กองทัพไทยอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน
แต่ประชาชนส่วนใหญ่ นักวิชาการ และสื่อต่างชาติเห็นว่าเป็นคำพูดที่เพ้อฝัน
เพราะนายอภิสิทธิ์เป็นหนี้บุญคุณกองทัพ ไม่ใช่แค่การจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารเท่านั้น
แต่ยังคอยปกป้องนายอภิสิทธิ์ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเหมือน “ไข่ในหิน”
ซึ่งสอด คล้องกับเอกสารของทูตสหรัฐที่วิกิลีกส์เผยแพร่
ขณะที่คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก
ที่ให้สัมภาษณ์นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดในกองทัพ
แสดงให้เห็นถึงความแข็ง กร้าวและตรงไปตรงมา
อย่างความเห็นเกี่ยวกับการที่คนเสื้อแดงจะยกระดับการชุมนุมประท้วงหลังยกเลิก พ.ร.ก.
การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินว่า “ทหารมีความพร้อม” ต้องไปตีความกันเองว่า
พร้อมจะดูแลความสงบเรียบร้อยตามคำสั่งรัฐบาล
หรือพร้อมจะใช้กำลังและอำนาจเหมือนผู้นำกองทัพที่ผ่านมา
อำนาจของกองทัพ
ที่ผ่านมาจึงไม่มีใครปฏิเสธว่ากองทัพแทบไม่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลพลเรือนเลย ดังนั้น
นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมากว่า 78 ปี
ประเทศไทยจึงมีการทำรัฐประหารมากที่สุดในโลก
แม้แต่ปัจจุบันกองทัพไทยก็มีอำนาจทั้งทางตรงและทางอ้อมในการเมืองไทย
จึงไม่แปลกที่นายอภิสิทธิ์จะอยู่ในอำนาจมากว่า 2 ปีได้อย่างเหลือเชื่อ
ทั้งที่มีปัญหามากมาย
ทั้งความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล
ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน
และการกดดันจากภาคประชาชน
อย่างที่นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการอิสระ บอกว่า ทุกประเทศในภูมิภาคนี้ล้วนยอมรับว่า
กองทัพมีบทบาทสำคัญทางการเมืองอย่างยิ่ง
จนกลายเป็นหัวข้อศึกษาที่นักวิชาการเฝ้าศึกษาวิเคราะห์มานาน
และมักจะวิเคราะห์อำนาจของกองทัพกับกลุ่มอำนาจต่างๆในสังคม
ซึ่งการเมืองไทยมักถูกวิเคราะห์ในแนวว่ามีอำนาจนอกระบบ มือที่มองไม่เห็น
หรือเครือข่ายทางเศรษฐกิจที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเป็นปัจจัยชี้ขาด
จนกระทั่งบางครั้งลืมอำนาจของกองทัพ ทั้งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดทางการเมือง
“อำนาจของกองทัพเหนือการเมืองนั้นไม่ได้มาจากรถถัง ทหารป่าหวาย หรือปืนยิงเร็ว ฯลฯ
นั่นก็ใช่ส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่ส่วนสำคัญ กองทัพจะยึดอำนาจหรือรักษาอำนาจของตนในการเมืองไว้ได้
ก็เพราะกองทัพได้รับความเห็นชอบจากส่วนอื่นๆที่มีพลังในสังคม
เมื่อตอนที่กองทัพทำรัฐประหารสำเร็จ
นายแบงก์และนายทุนธุรกิจพากันหิ้วกระเช้าไปแสดงความยินดีกับหัวหน้าคณะรัฐประหาร
ที่จริงแล้วเขาพากันไปแสดงความยินดีกับตนเองไปพร้อมกันด้วย
เพราะการยึดอำนาจครั้งนั้นเขาเห็นชอบ
และบางครั้งถึงกับเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินอยู่เบื้องหลังบางส่วนด้วยซ้ำ”
ความจริงที่ปิดไม่ได้
อย่างไรก็ตาม อำนาจของกองทัพไม่ต่างกับการรัฐประหาร
ที่นับวันมีแต่จะเสื่อมถอยไปตามกระแสโลก
ซึ่งส่วนใหญ่รังเกียจและต่อต้านอำนาจเผด็จการ
แม้แต่รัฐบาลทหารพม่าที่ถือเป็นเผด็จการสุดขั้วยังต้องยอมอ่อนโอน
เพื่อไม่ให้ถูกกดดันจนไม่มีทางออก
โดยเฉพาะการเมืองไทยที่ประกาศเป็นประเทศประชาธิปไตย
แต่กลับวนเวียนอยู่ภายใต้กองทัพ หรือ “รัฐทหาร”
ในที่สุดก็ไม่อาจต้านกระแสประชาชนและสังคมโลกได้
ไม่ว่าจะพยายามบิดเบือนหรือโฆษณาชวนเชื่อใดๆ เพียงแต่จะเร็วหรือช้าเท่านั้น
อย่างที่นายบัณฑร อ่อนดำ หนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) กล่าวว่า
การปฏิรูปการเมืองและปฏิรูปราชการ 10 ปียังทำไม่สำเร็จ
ภาพร้ายของประเทศไทยจึงมีทั้งการเมืองแย่งชิงและทำลายกันเอง
ระบบราชการไม่ได้รับใช้ประชาชน การค้าการลงทุนถูกครอบงำจากกลุ่มทุนข้ามชาติ การศึกษาก็ย่ำแย่
“ถ้าปฏิรูปไม่ได้จะเกิดปฏิวัติโดยประชาชน ไม่ต้องรอใครมาจัดการแล้ว
ชาวบ้านจะฟันเอง เหมือนหมาจนตรอก จะเป็นอย่างนั้น
อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ก็วิเคราะห์ไว้ ชาวบ้านไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
คนจนไม่มีทางออก อยู่เฉยๆก็ตาย อย่างคนอยู่ภาคใต้ก็พูดอย่างนี้
ภาคอื่นๆก็จะมีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน
ถ้าถูกกระทำทุกทาง มีชีวิตแบบตายทั้งเป็น อยู่ทำไม สู้ตายดีกว่า”
ดังนั้น ไม่ว่าการเมืองไทยที่อยู่ภายใต้อำนาจของกองทัพหรือ “มือที่มองไม่เห็น”
แต่ในที่สุด “ความจริง” ก็ไม่อาจปิดบังได้อีกต่อไป
เหมือนเอกสาร “วิกิลีกส์” ที่ประจานอำนาจนอกระบบในประเทศไทยไปทั่วโลก
เช่นเดียวกับหลักฐานการสังหารโหด 91 ศพในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
แม้สังคมไทยจะ (ทำเป็น) ไม่เห็น ยอมก้มหัวให้อำนาจเผด็จการและความอยุติธรรม
แต่ไม่อาจปิดบังความจริงที่คนทั้งโลกเห็นได้!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 292 วันที่ 1 – 7 มกราคม พ.ศ. 2554 หน้า 16-17
คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=9232