ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Tuesday 23 October 2012

นับถอยหลังคดีปรส.

ที่มา thaifreenews



เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2555 นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส. เพื่อไทย ได้ตั้งกระทู้ถามว่า  จากกรณีที่เกิด “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ในปี 2540

นาย กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  ได้ตอบกระทู้ถาม เรื่อง ความเสียหายของประเทศจากกรณีองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.)ผ่านราชกิจจานุเบกษา โดยนายกิตติรัตน์ ชี้แจงว่า   กระทรวงการคลังรายงานว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติยุบเลิกองค์การเพื่อการปฏิรูป ระบบสถาบันการเงิน (ปรส.) เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๕ และแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำระบัญชี เพื่อชำระบัญชีองค์การในวันเดียวกัน ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๔๑ - ๔๓ ของพระราชกำหนดการปฎิรูป ระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๔๐



กระทรวง การคลังได้ให้ความช่วยเหลือแก่กองทุนฯ ไปแล้ว จำนวน ๑.๓๐๕ ล้านล้านบาท โดยได้มี การชำระคืนต้นเงินกู้แล้ว ๑๖๓,๒๒๖ ล้านบาท จึงคงเหลือยอดหนี้คงค้าง ๑.๑๔ ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔)


ปัจจุบัน ได้มีการออกพระราชกำหนด ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุน เพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบ สถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งมีสาระสำคัญคือ เพิ่มแหล่งเงินสำหรับใช้ชำระคืนต้นเงินกู้ที่ยังคงค้างอยู่ ๑.๑๔ ล้านล้านบาท รวมทั้งดอกเบี้ย (เดิมกำหนดให้ชำระต้นเงินกู้จากเงินกำไรสุทธิที่ธนาคาร
แห่ง ประเทศไทยนำส่งเป็นรายได้ตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทยในแต่ละปี จำนวนไม่น้อยกว่า ร้อยละ ๙๐ และสินทรัพย์คงเหลือในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีตามกฎหมายว่าด้วยเงินตราหลัง จาก หักค่าใช้จ่ายตามที่กำหนดในกฎหมายดังกล่าวแล้ว) โดยกำหนดให้
(๑) กองทุน ฯ มีหน้าที่และรับผิดชอบเกี่ยวกับการชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยเงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฯและ
(๒) ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจเรียกให้สถาบันการเงินนำส่งเงินในอัตราที่รวม กับอัตราที่ สถาบันการเงินต้องนำส่งให้สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ปัจจุบันนำส่งร้อยละ ๐.๔๐ ของยอดเงินฝาก ถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครองเงินฝาก) แล้วไม่เกินร้อยละ ๑ ต่อปี ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการชำระคืนต้นเงินกู้หรือดอกเบี้ยเงินกู้ให้พอเพียงธนาคาร แห่งประเทศไทยอาจเรียกให้สถาบันการเงินนำส่ง เงินเพิ่มขึ้นจากที่กำหนดข้างต้นก็ได้ แต่เมื่อรวมกับเงินที่นำส่งตามที่กำหนดข้างต้นแล้วต้องไม่เกินร้อยละ ๑ ของยอดเงินที่สถาบันการเงินได้รับจากประชาชน