ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Saturday, 6 October 2012

ไต่สวนการตาย 10 เมษา พยาน 2 ปากยันกระสุนสังหาร “ฮิโรยูกิ-วสันต์” มาจากทหาร

ที่มา ประชาไท



5 ต.ค.55 ที่ห้องพิจารณา 403 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดไต่สวนคำร้องชันสูตรพลิกศพเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ เป็นโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ชันสูตรพลิกศพนายฮิโรยูกิ มูราโมโต้(ผู้ตายที่ 1) สัญชาติ ญี่ปุ่น ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วม ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช) ที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถ.ราชดำเนิน เมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 รวมทั้ง นายวสันต์ ภู่ทอง(ผู้ตายที่ 2)  อายุ 39 ปี และนายทศชัย เมฆงามฟ้า(ผู้ตายที่ 3) อายุ 44 ปี ที่ถูกยิงเสียชีวิต ในเวลาและบริเวณใกล้เคียงกัน จากการขอคืนพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ทหาร
โดยในวันนี้ได้มีประจักษ์พยานในเหตุการณ์ 2 ปากมาเบิกความ คือ นายดำเนิน ยาท้วม อายุ 55 ปี นักวิชาการอิสระด้านการศึกษา และนายไพบูลย์ น้อยเพ็ง อายุ 62 ปี อดีตผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งทั้ง 2 คนเป็นผู้ร่วมชุมนุม นปช.
นายดำเนิน ยาท้วม เบิกความต่อศาลว่า วันที่ 10 เมษายาน 2553 เวลาประมาณ 15.00 น. มีผู้ชุมนุมจำนวนมากมาสังเกตการณ์กับพยานบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยฝั่ง ถนนดินสอหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา โดยขณะนั้นแนวทหารอยู่ตรงกึ่งกลางของถนนดินสอ ตรงประตูหลังวัดบวรฯ โดยอยู่ด้านหลังรถหุ้มเกราะประมาณ 4-5 คันที่จอดขวางถนนหันหน้ารถและกระบอกปืนหันมาทางผู้ชุมนุม แนวทหารนั้นด้านหน้ามีโล่ ตะบอง ด้านหลังมีอาวุธปืนยาว ทหารถือโล่มีประมาณ 50 คน ส่วนถือปืนยาวประมาณ 20-30 คน จากนั้นเวลาผ่านไปเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ทหารเคลื่อนมาอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยไม่ทราบเหตุผลที่ทหารพยายามเข้ามา
พยานเบิกความต่อว่าจากนั้นได้ชวนผู้ชุมนุมมายืนขวางที่ทางม้าลายแรกตรง หัวถนนดินสอ ยืนประมาณ 200 คน ไม่มีการถืออาวุธ มีเพียงขวดน้ำและธง ช่วงนั้นไม่มีการ์ด นปช. รวมทั้งไม่มีชุดดำที่แฝงตัวเข้ามา ผู้ชุมนุมยืนกันเฉยๆ แต่ฝ่ายทหารไม่หยุดเคลื่อน จนกระทั่งเผชิญหน้าและผลักดันกัน สักครู่ทหารแถวหลังยิงปืนยาวขึ้นฟ้า หลังจากนั้นรถติดเครื่องขยายเสียงของทหารประกาศว่า "ขอให้หยุดการชุมนุม" ผู้ชุมนุมก็ยังอยู่และไม่ได้ผลักดัน สักครู่มีนายยศวฤทธิ์ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก แกนนำ นปช. มาพร้อมรถเครื่องเสียงด้านหลังแนวผู้ชุมนุมประกาศเจรจากับหัวหน้าหน่วยทหาร แต่ฝ่ายทหารกลับไม่ตอบรับจึงไม่มีการเจรจา
นายดำเนิน เบิกความว่า เวลา 16.00 น. ได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์บินมาเหนือหัวพร้อมโปรยแผ่นใบปลิวให้ยุติการชุมนุม แต่ผู้ชุมนุม นปช.ไม่ได้ยุติ หลังจากนั้นเฮลิคอปเตอร์ก็บินวนมาและโปรยแก๊สน้ำตา หลายจุดรวมทั้งจุดที่พยานอยู่ ทำให้พยานโดนแก๊สน้ำตาด้วย หลังจากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้หาน้ำล้างหน้า แต่มีบางส่วนที่ยังอยู่ประจันหน้ากับทหารที่เดิม เช่นเดียวกับทหารที่ยังอยู่ตรงนั้น ซึ่งเครื่องบินทิ้งแก๊สน้ำตาหลายรอบ ส่วนใหญ่ทิ้งตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
จนกระทั่งเวลา 17.00 น. พยานได้ขยับไปที่สะพานผ่านฟ้า โดยผู้ชุมนุมยังคงอยู่หัวถนนดินสอ ใกล้ 18.00 น. เฮลิคอปเตอร์ทิ้งแก๊สน้ำตามาลงที่สะพานผ่านฟ้าฯ บริเวณหน้าเวทีจำนวนมาก จึงหลบแถวนั้น จนกระทั่งบนเวทีบอกว่ารถโมบายจากราชประสงค์พร้อมผู้ชุมนุมจะมาช่วย เพราะกลัวว่าจะยันกับทหารไม่อยู่
ประมาณ 20.00 น.รถจากราชประสงค์มาถึง ขณะนั้นไม่มีการโปรยแก๊สน้ำตา และ ประมาณ 20.30 น. รถโมบายได้เคลื่อนไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พยานจึงเดินนำหน้ารถไปด้วย เมื่อไปถึงเห็นเจ้าหน้าที่ทหารยังคงปักหลักที่จุดเดิมตรงหัวถนนดินสอ โดยมีผู้ชุมนุมยืนปักหลักยันกับทหารไว้ ซึ่งบริเวณนั้นมีไฟสาธารณะสว่างมองเห็นได้ชัด ผู้ที่มากับรถโมบายคือ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ประกาศว่ามาช่วยแล้ว
นายดำเนิน เบิกความต่อว่า ขณะนั้นในส่วนของทหารแนวหลังบริเวณประตูหลังวัดบวร ถนนดินสอ มีทหารเข้ามาประจำเพิ่มขึ้น โดยยืนเป็นแนวทั้งบนถนนและฟุตบาททั้ง 2 ข้าง ทหารแนวหลังจะถือเพียงอาวุธปืนยาว 40-50 นาย ห่างจากจุดที่ผู้ชุมนุมดันกับทหารประมาณ 50 เมตร และอยู่หลังรถหุ้มเกราะ ซึ่งตรงนั้นมีไฟฟ้าสาธารณะจึงสว่างมองเห็นได้ชัดว่าทหารถือปืนยาวและถือยก ปลายกระบอกปืนเฉียงขึ้นฟ้าตรียมพร้อม พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ เมื่อมาถึงได้ประกาศให้เปิดเพลงมัน ๆ แต่เล่นเพลงยังไม่ทันจบก็เกิดการปะทะกัน โดยทหารที่ถือปืนด้วยนั้นได้ยิงปืนขึ้นฟ้า ทั้งนี้แนวทหารมีทหารแนวหน้าจะถือโล่และตะบองไม้ ถัดไปเป็นรถหุ้มเกราะ ต่อด้วยทหารถือปืนยาว และทหารถือปืนยาวแนวหลังสุดอีกตรงบริเวณหน้าประตูวัดบวร
ขณะที่ทหารยิงปืนขึ้นฟ้า หลังจากนั้นมีเสียงดังมาก 2 ครั้ง คลายระเบิดห่างกัน ครึ่งนาที ด้านหน้าพยานและใกล้จนร่างกายสะเทือน หลังจากนั้น ผู้ชุมนุม นปช. เดินรุกขึ้นหน้าเข้าไป ในขณะที่ทหารถอยร่น พยานก็เคลื่อนตามไปด้วย หลังเสียงดัง 2 ครั้งนั้นทั้งผู้ชุมนุมและทหารล้มกันหลายคน ตั้งแต่บริเวณหัวถนนดินสอ แต่ขณะนั้นพยานไม่ทราบว่าบาดเจ็บหรือไม่
ในระหว่างที่ ผู้ชุมนุม นปช. เดินเข้าไปนั้น มีชายคนหนึ่งใส่เสื้อแดงนุ่งกางเกงเข้มถือธง นปช. สีแดง ด้านหน้าของพยานที่ช่วงแรกเขาหันหน้าทางทหาร หลังจากนั้นหันทางขวามือหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา  ด้ามธงอยู่กับพื้น หลังจากนั้นเห็นทรุดตัวล้มลง เห็นสมองและเลือดไหลมาตามพื้น อยู่ห่างจากพยานประมาณ 15-20 เมตร ช่วงนั้นมีเสียงอาวุธปืนจากทหารที่อยู่หน้าประตูหลังวัดบวร ได้ยินทั้งก่อน และหลังจากชายคนดังกล่าวล้มต่อเนื่องอีกนาน โดยมีประกายไฟสีส้มและสีเขียวที่พุ่งออกจากปากกระบอกปืนที่อยู่ตรงนั้น ทิศทางที่ตรงมายังผู้ชุมนุมและขึ้นฟ้า
พยานเบิกความด้วยว่าขณะนั้นฝังด้านหลังของพยานไม่ได้ยินเสียงปืน รวมทั้งด้านข้างก็ไม่เห็นประกายไฟ มีเพียงด้านหน้าที่ปรากฏประกายไฟ ซึ่งมีเสียงหลายแบบทั้งปั้งๆ แปะๆ และรัว แต่ยิงขึ้นฟ้ามีมากกว่าตรงมายังฝั่งผู้ชุมนุม ตอนนั้นเข้าใจว่าชายที่ถือธงถูกยิงเป็นกระสุนจริงจากเจ้าหน้าที่ทหาร นอกจากชายคนนี้แล้ว ขณะนั้นก็เห็นผู้ชุมนุมรายอื่นล้มลงด้วย แต่จำรายละเอียดไม่ได้ หลังจากนั้นเมื่อทราบว่ามีคนตายจริง จึงวิ่งย้อนกลับมาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเพื่อแจ้ง พ.ต.ท.ไวพจน์ ว่าทหารใช้กระสุนจริง และมีคนตาย พ.ต.ท.ไวพจน์ จึงได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมเข้าไปนำร่างผู้ตายออกมา
หลังจากนั้น พยานได้กลับเข้าไปโดยคลานเข้าไปทางฝั่งโรงเรียนสตรีวิทยา ระหว่างนั้นมีเสียงปืนดังโดยตลอด ขณะนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมมีเพียงหนีกับวิ่งหลบ ไม่เห็นการ์ด นปช.หรือการตอบโต้จากผู้ชุมนุม ขณะเข้าไปฝั่งโรงเรียนสตรีวิทยา ประมาณครึ่งทางระหว่างทางม้าลายแรกและอันที่สอง เห็นผู้ชุมนุมหามร่างชายชุดสีครีม ที่เห็นมาก่อนว่าเป็นผู้สื่อข่าวโดยไม่ทราบว่าเป็นสื่อไหน พยานไม่ทราบว่าถูกยิงล้มลงตรงไหน แต่ทราบภายหลังจากการประกาศบนเวทีว่าชื่อ ฮิโรยูกิ นักข่าวญี่ปุ่น ส่วนขณะนั้นร่างชายถือธงแดงนั้นยังนอนอยู่ที่เดิมเพราะไม่สามารถเข้าไปช่วย ได้  ขณะคลานอยู่บนบาทวิถีหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาได้ยินเสียงปืนตลอดประมาณครึ่ง ชั่วโมงที่พยานคลานเข้าออก โดยขณะนั้นทหารถอยไปหมดถึงแนวหลังวัดบวรแล้ว โดยช่องว่างระหว่าง ทหารกับผู้ชุมนุมขณะนั้นประมาณ 50 เมตร
นายดำเนิน เบิกความด้วยว่าไม่เห็นทหารบาดเจ็บจากอาวุธปืน เห็นเพียงทหารล้มลงจากเสียงดัง 2 ครั้งและประคองทหารด้วยกันถอยไป แม้จะมีเสียงอาวุธปืนดัง พยานเห็นผู้ชุมนุมพยายามฝ่าเข้าไปยังทิศทางของทหาร สำหรับร่างของชายถือธงหรือนายวสันต์ ภู่ทอง(ผู้ตายที่ 2) กว่าจะมีการนำออกมาจากจุดเกิดเหตุได้ต้องรอจนหลังจากเสียงปืนสงบ 1 ชั่วโมง ซึ่งทหารถอยไปจนสุดถนนใกล้สะพานวันชาติ ทางแกนนำส่งการ์ดมาเอาศพนายวสันต์ ภู่ทอง ออกมา

หลังจากเหตุการณ์สงบพยานยังอยู่ที่ชุมนุมจนกระทั้ง 2.00 น. จึงกลับบ้าน และในเช้าวันรุ่งขึ้นเวลา 9.00 น.ได้เข้ามาที่เกิดเหตุพบรอยเลือดตรงจุดที่นายวสันต์ ถูกยิงและพบร่องรอยความเสียหายที่ตัวอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ฝั่งที่หันหน้าเข้าถนนดินสอ ตรงปีกอนุสาวรีย์ 2 ปีก หลายสิบรอย ความสูงแนวประมาณศีรษะส่วนใหญ่ โดยรอยเป็นรอยใหม่ เหมือนเป็นรอยจากของแข็งเข้ากระทบทำให้เนื้อปูนกะเทาะออก จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พยานสันนิฐานว่าร่องรอยที่เกิดขึ้นน่าจะเกิดจากกระสุนปืนที่เจ้าหน้าที่ทหาร ยิงมาเมื่อคืนก่อน
พยานเบิกความด้วยว่า ก่อนหน้าที่รัฐบาลประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินใน วันที่ 7 เม.ย. 53 ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงหรือไม่สงบ ส่วนเหตุการณ์ในวันนั้นหากไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาสลายการชุมนุมก็จะไม่ มีการตายและเจ็บเกิดขึ้น อีกทั้งก่อนโปรยแก๊สน้ำตาจากเฮลิคอปเตอร์ เจ้าหน้าที่ทหารมีการแจ้งเตือนว่าจะสลายการชุมนุมโดยใช้เพียงรถกระจายเสียง ที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยาเท่านั้น ไม่ได้แจ้งให้ผู้ชุมนุมที่อยู่ส่วนอื่นทราบรวมทั้งไม่ได้แจ้งด้วยว่าจะใช้ อาวุธปืนหรือโปรยแก๊สน้ำตา อีกทั้งยังไม่ได้แจ้งช่องทางให้ผู้ชุมนุมหลบหากมีการโปรยแก็สน้ำตาด้วย
นายดำเนิน เบิกความว่าขณะเกิดเหตุหากมองจากฝั่งทหารหน้าประตูวัดบวรนั้นคิดว่าทหาร สามารถมองมายังผู้ชุมนุมเห็นได้ชัด เพราะจากฝั่งที่พยานอยู่มองไปยังทหารเห็นได้ชัดว่าถือปืนหรือทำอะไรอยู่ และอยู่ห่างกันไม่มากนัก นายดำเนิน ยังยืนยันด้วยว่าในขณะที่มีการปะทะกันไม่พบชายชุดดำ และคิดว่าการที่ทหารยิงใส่ผู้ชุมนุมนั้นเป็นไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา

หลังจากนั้นในช่วงบ่าย นายไพบูลย์ น้อยเพ็ง พยานอีกปากในวันนี้ได้เข้าเบิกความว่า ในที่เกิดเหตุเวลา 17.00 น. รถของฝั่งทหารที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยาซึ่งประกอบด้วยรถหุ้มเกราะ รถฮัมวี่และรถยูนิม็อก รวมทั้งหมด 12 คัน แบ่งเป็น 4 แถวๆ ละ 3 คน รถหุ้มเกราะแต่ละคันมีนายทหารประจำและมีการถือปืนสั้น ส่วนทหารอื่นจะมีปืนยาว ซึ่งอยู่ทั้งด้านหลังและระหว่างรถถังเต็มไปหมด ทหารมีอาวุธเป็นโล่ ตะบองไม้และสะพายอาวุธปืน ประมาณ 100 นาย ขณะนั้นผู้ชุมนุมยืนประจันหน้ากับเจ้าหน้าที่ทหารเฉยๆ พยานเห็นเฮลิคอปเตอร์บินเหนืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและโปรยแก๊สน้ำตาลงมา ผู้ชุมนุมที่โดนแก๊สน้ำตาก็กระจายตัวกัน ส่วนทหารใส่หน้ากากกันแก๊สน้ำตา มีการโปรยใบปลิวลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ซึ่งมีข้อความให้ผู้ชุมนุมสลายการชุมนุม แต่ผู้ชุมนุมไม่สลายการชุมนุมและยังคงยืนที่เดิมบริเวณหัวมุมถนนดินสอ เช่นเดียวกับทหารที่ยังคงประจันหน้าอยู่จุดเดิม พยานมาอยู่ด้านหน้าใส่เสื้อแดงถือร่มสีม่วง นุ่งกางเกงยีนส์หนา ซึ่งมีภาพข่าวหนังสือพิมพ์วันที่ 11 เม.ย.53 หน้า 1 มติชนยืนยัน
นายไพบูลย์ เบิกความต่อว่า ถึงเวลา 18.00 น. หลังเคารพธงชาติ ทหารเปิดเพลงปลุกใจและเพลงพระราชนิพนธ์ จนกระทั่งเวลาประมาณ 19.30 น. รถถัง 3 คันแรกด้านหน้าได้ติดเครื่องขยับไปมา ทำให้ผู้ชุมนุมตกใจถอยออกมาและทหารขยับมาด้านหน้ารถถัง จากการเกิดช่องว่างระหว่างรถถังกับผู้ชุมนุม ทหารประมาณหลักร้อย ถือตะบองและโล่และอาวุธปืนยาว M 16 และลูกซอง หลังจากนั้นเวลาประมาณ 20.30 น. ผู้ชุมนุมจากผ่านฟ้าเข้ามาสมทบ ผู้ชุมนุมจึงเข้าไปผลักดันทหาร โดยไม่มีอาวุธ ทหารด้านหลังรถถังได้ขว้างแก๊สน้ำตา แต่ขณะนั้นลมพัดไปทางทหาร ผู้ชุมนุมจึงผลักดันทหารเข้าไปจนกระทั่งไปถึงหน้ารถถัง  ทหารก็มีชุดใหม่เข้ามาแทน โดยผู้ชุมนุมยังดันกับทหารต่อเนื่อง ขณะที่เสียงปืนดังตลอดเวลามาจากฝั่งทหารเนื่องจากเห็นแสงมาจากปากกระบอกปืน ส่วนด้านข้างหรือฝั่งผู้ชุมนุมไม่มี โดยทหารมีทั้งยิงขึ้นฟ้าและตรงมาทางผู้ชุมนุม
เวลาประมาณ 20.40 น. ขณะที่ผู้ชุมนุมยันกับทหาร ทหารบนรถหุ้มเกราะชักปืนสั้นยิงทั้งขึ้นฟ้าและยิงมาทางผู้ชุมนุมด้วยแต่ไม่ ทราบว่ามีใครถูกกระสุนหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามในขณะนั้นพยานคิดว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารใช้กระสุนปลอมจึงไม่ กลัวและผลักดันทหารต่อเนื่อง จนกระทั่งเวลาประมาณ 20.50 น. ได้ยินเสียงดังมาก 2 ครั้ง ห่างกัน 20 วินาที บริเวณใกล้ตัวพยานเอง แต่พยานเพียงแน่นหน้าอกจึงไม่คิดว่าเป็นระเบิดเพราะถ้าเป็นระเบิดพยานน่าจะ ได้รับบาดเจ็บ จุดที่เกิดเสียงดังนั้นเป็นจุดที่ทหารอยู่ หลังจากนั้นทหารจึงวิ่งถอยไปทางสะพานวันชาติ
หลังจากนั้นมีรถแกนนำคือ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ เข้ามาพร้อมประกาศว่า “ทหารอย่าทำร้ายประชาชน และประชาชนอย่าทำร้ายทหาร” ผู้ชุมนุมจึงเกิดกำลังใจและผลักดันทหารในขณะที่เสียงปืนดังขึ้นตลอด ทหารที่อยู่ในรถหุ้มเกราะพร้อมด้วยรถหุ้มเกราะได้ถอยไปทางสะพานวันชาติ และมีผู้ชุมนุมหามร่างคนไปที่รถมูลนิธิ แต่จะถูกยิงหรือไม่ ขณะนั้นไม่ทราบ เพราะผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ตัวพยานนั้นไม่มีใครถูกยิงในขณะนั้น จากนั้นได้เดินไปตามบาทวิถีฝั่งโรงเรียนสตรีวิทยา เห็นทหารยิงขึ้นฟ้าและยิงมาทางผู้ชุมนุม ตอนนั้นตัวพยานยังคิดว่าเป็นกระสุนปลอม

พยาน เบิกความต่อว่า หลังจากนั้นพยานได้เดินถึงทางเข้าโรงเรียนสตรีวิทยาเจอนักข่าว(ฮิโรยูกิ ผู้ตายที่ 1)ที่เข้าใจว่าเป็นนักข่าวเนื่องจากมีการถือกล้องขนาดใหญ่ถ่ายอยู่และมีการ ถ่ายตัวพยานด้วย พยานได้เดินเลยนักข่าวคนนี้ไป ทำให้นักข่าวอยู่ด้านหลัง พยานได้หยุดเดินต่อเนื่องจากบริเวณทางเข้าโรงเรียนวัดบวรนั้นทหารได้ตั้งแถว ขวางถนนดินสอ พร้อมกับเล็งปืนมาทางผู้ชุมนุม และมีเสียงปืนมาทางผู้ชุมนุม จนกระทั่งเวลาก่อน 21.00 น.เล็กน้อย ได้ยินเสียงร้องด้านหลังขอความช่วยเหลือว่า “โอ้ยหมอ” จึงหันไปเห็นทหารนอนเจ็บอยู่ 2 คน ซึ่งอยู่ตรงท้ายรถปิกอัพ สีขาว ซึ่งขณะนั้นมีผู้ชุมนุมช่วยเหลือทหารอยู่ 3-4 คน และพยานได้ร้องขอให้ผู้ชุมนุมเข้าไปช่วย จึงมีผู้ชุมนุมเข้าไปช่วยประมาณ 7 คน ในจำนวนนั้นมีนายจรูญ ฉายแม้น ซึ่งเสียชีวิตภายหลังเข้าไปด้วย
รวมทั้งเห็นอีกคนที่ถือธงสีแดงภายหลังทราบว่าเป็นนายวสันต์ ภู่ทอง(ผู้ตายที่ 2)เข้ามาด้วย ผู้ชุมนุมเข้าไปเพื่อยกให้ทหารที่นอนอยู่นั่งขึ้น พร้อมกับตะโกนให้ทหารออกไป โดยนายวสันต์โบกธงเพื่อไม่ให้ทหารยิง และเดินห่างจากพยานไป 4 ก้าว ก็ล้มลงเท้าเฉียงไปทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หัวไปทางเข้าโรงเรียนสตรีวิทยาตรงทางม้าลาย ขณะนั้นทราบว่าถูกยิงที่หัวเนื่องจากมีสมองและเลือดกระเด็นออกมา พอเห็นเช่นนั้นผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณนั้นรวมทั้งพยานต่างตกใจ หลังจากนั้นตัวพยานถูกยิงที่ขาก่อนที่จะวิ่ง 3 ก้าวแล้วล้มลงหน้าทางเข้าโรงเรียนสตรีวิทยา
ก่อนที่พยานจะล้มนั้นหันไปเห็นนักข่าว(ฮิโรยูกิ)กำลังถ่ายภาพทหาร 2 คนที่บาดเจ็บอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยา หันหลังให้ทางเข้าโรงเรียนสตรีวิทยา ยืนตรงประตูทางเข้าโรงเรียนมือซ้ายยกขึ้นจับกล้องในท่าถ่ายและลำตัวด้านซ้าย ไปทางสะพานวันชาติ พอพยานล้มนักข่าวคนดังกล่าวก็ล้มตาม ห่างจากพยานประมาณ 3 เมตร ได้ยินเสียงกล้องกระแทกพื้น ขณะนั้นได้ยินเสียงปืนตลอด หลังจากนั้นมีชายชุดขาววิ่งมาทางนักข่าวและล้มลง รวมทั้งมองไปทางฝังตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยาที่มีทหาร 2 คนบาดเจ็บอยู่นั้นมีอีกหลายคนที่ล้มลง รวมทั้งรอบๆ ที่ร่างนายวสันต์นอนอยู่ก็มีคนล้มด้วย ขณะนั้นมองไปยังฝั่งทหารหน้าทางเข้าโรงเรียนวัดบวรก่อนถึงสะพานวันชาตินั้น มีประกายไฟจากปากกระบอกปืนมาทางฝังผู้ชุมนุมและสะพานวันชาติ
หลังจากที่พยานดูตัวเองพบว่าถูกยิงโดยกระสุนยางแล้วยังนอนตรงนั้นประมาณ 2 นาทีก็วิ่งไปหลบตรงต้นไม้และตู้โทรศัพท์ ในขณะนั้นเสียงปืนก็ยังคงดังอยู่จนกระทั้งผู้ชุมนุมหลบหมดเสียงปืนจึงสงบลง ขณะนั้นมีผู้ชุมนุมอีกชุดเดินมาบนบาทวิถีจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยฝั่งตรง ข้ามโรงเรียนสตรีวิทยาเพื่อช่วยเหลือทหาร แต่กลับถูกยิงได้รับบาดเจ็บ จนกระทั้งมีคนตะโกนบอกว่า “อย่ายิง ให้รายงานผู้บังคับบัญชาว่ามีทหารบาดเจ็บ” หลังจากนั้นประมาณ  1 นาทีมีทหารจากทางสะพานวันชาติ 5 คน มาช่วยทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตอนนั้นไม่มีเสียงปืนแล้ว ทหารจึงถอยไปถึงสะพานวันชาติ
นายไพบูลย์ เบิกความว่าต่อจากนั้นผู้ชุมนุมที่หลบอยู่ก็ออกมาล้อมรถหุ้มเกราะ และมีบางคนได้หย่อนตัวลงไปในรถแล้วเอาเสื้อไปเปลี่ยนให้ทหารที่อยู่ในรถ ซึ่งพยานคิดว่าคนที่เข้าไปช่วยน่าจะเป็นทหารที่ปลอมตัวมาปะปนกับผู้ชุมนุม ที่สามารถนำทหารที่อยู่ในรถหุ้มเกราะกลับไปฝั่งทหารได้ 3 คน เหลือคนที่ 4 ที่ถูกผู้ชุมนุมคัดค้าน ทำให้ผู้ชุมนุมนำเอาทหารไปที่เวที ส่วน 3 คนที่สามารถเอาทหารออกไปได้นั้นคนที่พาทหารออกไปก็ไม่ได้กลับมา บางคนใส่กางเกงลายพรางด้วย โดยพยานนั่งสังเกตการณ์อยู่บริเวณนั้นจนถึง 21.00 น. เศษ จึงเดินเข้าไปที่จุดที่ทหารเคยอยู่ตรงทางเข้าประตูโรงเรียนวัดบวร พร้อมกับผู้ชุมนุมที่ตามเข้ามาด้วยพบบริเวณนั้นมีปลอกกระสุนทั้ง M16 และลูกซองจำนวนมาก
นอกจากนี้พยานได้เดินสำรวจถนนดินสอ พบรอยคลายรอยกระสุนปืนบริเวณรถทหาร รถผู้ชุมนุม ประตูและกำแพงอาคารข้างถนน เสาไฟ ป้าย รวมทั้งตัวอนุสาวรีย์ฝังโรงเรียนสตรีวิทยา อยู่ในระดับตั้งแต่หัวเข่าจนเลยศีรษะ ประมาณ 140 รอย

ทั้งนี้การสืบนายไพบูลย์ น้อยเพ็ง จนถึงเวลา 16.30 น. ทนายญาติผู้เสียชีวิตได้ร้องขอต่อศาลเพื่อสืบนายไพบูลย์ ต่อในนัดถัดไป ศาลจึงได้อนุญาตให้มีการไต่สวนนายไพบูลย์ ในนัดหน้าวันที่ 17 ต.ค.55 ต่อ โดยจะมีการเปิดวีดีโอคลิปที่มีพยานปรากฏในเหตุการณ์เพื่อยืนยันด้วย

แผนที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา :

ดูแผนที่ขนาดใหญ่