จากกองทัพปลดแอกประชาชนไทย กลายเป็นกองทัพรับจ้างระบอบอำมาตย์และพรรคคอมมิวนิสต์บุพกาล
ภาพจากเว็บไซต์โพสต์ทูเดย์
กรณีที่มีคนใส่หมวกดาวแดง แต่งชุดเขียว เสื้อคอปกแดงข้าวหลามตัด
อ้างว่าเป็นกองทัพปลดแอกเพื่อประชาธิปไตย ปกป้องสถาบันหลักของชาติ
และปกป้องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มาชุมนุมกันที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญนั้น
สภาผู้แทนคนเสื้อแดงในคุกหยิบยกมาอภิปรายถามไถ่ผู้รู้ที่เชี่ยวชาญ
เรื่องราวของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย( พคท.)
และกองทัพปลดแอกประชาชนไทย (ทปท.) ว่ามีความเป็นมาอย่างไร
เกิดอะไรขึ้นกับสหายเก่าเหล่านั้น
ท่านผู้รู้จึงอธิบายให้ฟังว่า เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
(พคท.) ล่มสลาย จนเกิดสภาพป่าแตก ทหารแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนไทย (ทปท.)
ภายใต้การนำของ พคท.ก็วางอาวุธ ยอมมอบตัวกับรัฐบาล เป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย
(ผรท.) ปิดตำนานการต่อสู้ทางอุดมการณ์ที่ยาวนาน
ในการวางอาวุธ ยอมมอบตัวคราวนั้น ได้มีการตกลงกันว่า
ทางรัฐบาลจะช่วยเหลือเรื่องอาชีพ และที่ดินทำกินโดยจะมอบที่ดิน 10 ไร่
และวัว 5 ตัวให้แต่ละครอบครัว
แต่ปรากฏว่ารัฐบาลขณะนั้นและต่อมาไม่ได้ทำตามข้อตกลง
จนกระทั่งเมื่อ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์
ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยความรำลึกนึกถึงบิดาของท่านที่เป็นผู้นำระดับสูง
ของ พคท. คือ ท่าน พ.ท.พโยม จุลานนท์ หรือ “สหายคำตัน”
และมิตรสหายของบิดาอีกทั้งมีการติดต่อกันระหว่างอดีตผู้นำระดับสูงของ
พคท.กับท่านพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์
จึงต้องการซื้อใจเพื่อไม่ให้เข้าไปร่วมกับขบวนการคนเสื้อแดง พล.อ.สุรยุทธ
จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี จึงอนุมัติให้มีการจ่ายเงินแก่
ผรท.ในภาคเหนือและภาคอีสาน โดยคำนวณที่ดิน 10 ไร่ และวัว 5 ตัว เป็นเงิน
230,000 บาท จึงกลายเป็น ผรท.เหล่านี้
ถูกซื้อตัวจนถูกผูกติดอยู่กับระบอบอำมาตย์
อีกทั้งอดีตคณะกรรมการ กรมการเมือง ของ พคท.หลายคน
ขายอุดมการณ์ไปรับใช้ระบอบอำมาตย์ทำการยึดการนำ ปลดนายธง แจ่มศรี
เลขาธิการใหญ่ของ พคท.แล้วอุปโลกน์สหายชาวเขาที่เป็นลูกน้องของป้าผึ้ง
ภรรยา “จาง หย่วน” หรือนายวิรัช อังคถาวร เป็นเลขาธิการใหญ่แทน
แล้วมีการรื้อฟื้น พคท.ขึ้นมาใหม่ เป็นพรรคคอมมิวนิสต์ รอ. จึงทำให้
ผรท.จำนวนหนึ่ง อุปโลกน์เป็นกองทัพปลดแอก รอ.ตามไปด้วย
นี่จึงเป็นที่มาของการชุมนุมของกองทัพรับจ้างแห่งประเทศไทย
ต่อมาเมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
ก็ได้ประกาศนโยบายสานต่อคำสั่ง ที่ 66/2523
จ่ายเงินเยียวยาให้แก่ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยภาคใต้ด้วย เป็นการซื้อใจอีกระลอก
รายละ 230,000 บาท ยกเว้น ผรท.ที่เป็นแกนนำคนเสื้อแดง ไม่จ่าย
ครั้นต่อมาเมื่อพรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาล
และได้มีการจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุม
ตั้งแต่ปี 2549-2553 และผู้ประสบภัยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
เป็นจำนวนเงินนับล้านบาทก็มีการเคลื่อนไหวกันในหมู่ ผรท.ว่า
การรับเงินเยียวยาที่ผ่านมา รายละ 230,000 บาทน้อยเกินไป
จะต้องมีการชุมนุมเรียกร้องใหม่ ให้ได้จำนวนใกล้เคียงกัน คือ
ต้องเป็นล้านบาทขึ้นไป จึงเป็นเงื่อนไขในการปลุกระดมของผู้นำ พคท.รอ.
จัดการชุมนุมแสดงการรับใช้ระบอบอำมาตย์
ชูคำขวัญเพื่อปกป้องสถาบันหลักของชาติ ปกป้องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
กลุ่มคนเหล่านี้หมดสิ้นอุดมการณ์ เป็นเพียงพวกขายภาพเก่าๆ
แจกเศษเงินเพื่อเลี้ยงซากชีวิตแก่ๆ ใกล้ตายเท่านั้น
ส่วนพวกคณะกรรมการกรมการเมืองที่อุปโลกน์กันขึ้นมาใหม่ ยิ่งเพี้ยนหนัก
ชูคำขวัญต่อต้านทุนสามานย์ แต่ไม่ใช่มุ่งสู่สังคม “สังคมนิยม”
กลับต้องการฟื้นสังคมศักดินาและต่อไปก็คงต่อต้านศักดินาสามานย์
มุ่งสู่สังคมทาน
สุดท้ายต่อต้านนายทาสสามานย์มุ่งสู่สังคมคอมมิวนิสต์บุพกาลเข้าถ้ำแบบพออยู่
พอกิน แล้วเปล่งคำขวัญ “มนุษย์ถ้ำจงเจริญ”
นี่คืออุดมการณ์ของ พคท.รอ. ที่มีสหายชาวเขาค้อเป็นเลขาธิการพรรค
สรุปว่าคนใส่หมวกดาวแดงแต่งชุด ทปท.ที่ชุมนุมกันในภาคอีสาน
และหน้าศาลรัฐธรรมนูญนั้นไม่ใช่กองทัพปลดแอกประชาชนไทย ภายใต้การนำของ
พคท.เดิม แต่เป็นกองทัพรับจ้างระบอบอำมาตย์ภายใต้การนำของ
พคท.รอ.ที่มีอุดมการณ์มุ่งสู่สังคมคอมมิวนิสต์บุพกาลถอยหลังเข้าถ้ำนั่นเอง
เสียงจากคุก
16 กรกฎาคม 2555