6 กรกฎาคม, 2012 - 12:03 | โดย iskra
อานนท์ ชวาลาวัณย์, กลุ่มประกายไฟ
ในระหว่างสงครามกลางเมืองหรือยุคสมัยแห่งความขัดแย้ง
การใช้ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนคือสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วไปในสังคม
ทั้งการละเมิดที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำต่อประชาชนเช่นกรณีทหารเขมรแดงละเมิด
สิทธิมนุษยชนชาวกัมพูชาหรือกรณีที่ประชาชนชาวรวันดาถูกรัฐบาลใช้สื่อปลุก
ปั่นให้จับอาวุธเข้าห้ำหั่นกัน ภายหลังเหตุการณ์ความรุนแรงผ่านพ้นไป
และสภาวะโกลาหล(Chaos)
สิ้นสุดลงกระบวนการยุติธรรมก็จะถูกสถาปนาขึ้นมาเพื่อจัดระเบียบสังคมและควบ
คุมไม่ให้เกิดความรุนแรงอย่างไรก็ดีเนื่องจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นเกี่ยว
ข้องโดยตรงกับสถานการณ์ทางการเมืองกระบวนการยุติธรรมที่สถาปนาขึ้นจึงไม่
สามารถตั้งอยู่บนตรรกะทางนิติศาสตร์หากแต่จำเป็นต้องผสานตรรกะทางรัฐศาสตร์
เข้ามาด้วย
กระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านนั้นประกอบด้วยสามกระบวน
การใหญ่ๆได้แก่การค้นหาความจริง
การบังคับใช้กฎหมายลงโทษผู้กระทำผิดและกระบวนการทางการเมืองอันจะทำให้รัฐ
สามารถก้าวข้ามความขัดแย้งและเดินหน้าต่อไปได้
กระบวนการทางการเมืองนี้ก้อได้แก่การเยียวยาเหยื่อและครอบครัวของเหยื่อ
การสมานแผลระหว่างคู่ขัดแย้งหรือการปรองดองที่เป็นประเด็นในสังคมไทยและท้าย
ที่สุดการนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำผิดระดับรองๆ
การค้นหาและเปิดเผยความจริงคือบันไดขั้นแรกที่จะนำไปสู่
กระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่าน
หากปราศจากซึ่งกระบวนการค้นหาและเปิดเผยความจริงก็ยากที่กระบวนการยุติธรรม
เปลี่ยนผ่านจะประสบความสำเร็จเพราะเมื่อปราศจากซึ่งความจริงก็ไม่อาจลงโทษ
หรือให้อภัยผู้กระทำผิดเพราะไม่รู้ว่าใครทำอะไร
ไม่อาจคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเป็นธรรมให้แก่เหยื่อผู้วายชนม์และ
ครอบของเขา
การค้นหาและการประกาศความเป็นจริงคือหัวใจของกระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่าน
อันจะขาดเสียไม่ได้
หลังการค้นหาความจริงกระบวนการทางกฎมหายที่จะลงโทษผู้กระทำผิดคือสิ่งที่จะ
ต้องดำเนินไป
ผู้กระทำผิดในส่วนที่กระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านมักมุ่งที่จะลงโทษได้แก่
ผู้บังคับบัญชาและผ่ายบริหารที่เป็นผู้กำหนดหรือควบคุมนโยบายแห่งรัฐหรือคุม
การโฆษณาชวนเชื่อต่างๆเนื่องจากบุคคลเหล่านี้คือผู้ที่อย่เบื้องหลังเพราะ
เป็นผู้จุดประกายความขัดแย้ง
ในส่วนกระบวนการทางการเมืองจะเน้นการผสานรอยร้าวระหว่างผู้คนในสังคมเช่นการ
จัดให้มีการพบปะพูดคุยและปรับความเข้าใจระหว่างผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ
กระบวนการรื้อฟื้นความทรงจำและสถาปนาที่ทางในประวัติศาสตร์แก่ผู้วายชนม์
เช่นการสร้างอนุสรณ์สถานและท้ายที่สุดการนิรโทศกรรมแก่ผู้กระทำผิดทั้งนี้
ผู้ที่จะได้รับนิรโทศกรรมมักจะไม่ใช่คนที่อยู่ในระดับบัญชาการแต่เป็นผู้
ปฏิบัติการเพราะบุคคลเหล่านี้มักไม่ได้กระทำผิดด้วยเจตนาแต่กระทำเพราะสถาน
การณืพาไป
การลงโทษบุคคลเหล่านี้อาจทำให้รัฐสูญเสียประโยชน์ในระยะยาวเช่นการสูญเสีย
กำลังแรงงานเพราะมีผู้กระทำผิดติดคุกเป็นจำนวนมาก
กระบวนการทั้งหมดทั้งสิ้นที่กล่าวมาหากได้มีการปฏิบัติสอดคล้องกันอย่าง
เหมาะสมอาจนำไปสู่การสถาปนาความยุติธรรมในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านได้
อย่างไรก็ดีสิ่งเหล่านี้กลับไม่เคยเกิดขึ้นในรัฐไทยทั้งที่รัฐไทยเองก็ประสบ
พบเจอกับเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองมาแทบจะนับครั้งไม่ถ้วน
หากศึกษาประวัติศาสตร์ของรัฐไทยก็จะพบว่าเหตุการณ์การ
ความรุนแรงทางการเมืองที่ขยายตัวไปสู่การปะทะระหว่างฝ่ายรัฐและฝ่ายประชาชน
ซึ่งนำไปสู่การเสียเลือดเนื้อเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์สิบสี่ตุลาหนึ่งหก หกตุลาหนึ่งเก้า
สงครามประชาชนในยุคสงครามเย็นระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยกับรัฐบาล
ไทย เหตุการณ์พฤษภาทมิฬสองห้าสามห้า
เหตุการณ์ความรุนแรงในภาคใต้และท้ายที่สุดเหตุการณ์เมษาและพฤษภาเลือดใน
ปี2552กับปี2553
เหตุการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมานำไปสู่การสูญเสียเลือดเนื้อของผู้บริสุทธิ์หลาย
ต่อหลายคน
ทว่าหลังเหตุการณ์ทั้งหมดจบลง(ยกเว้นเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ที่
ยังคงดำรงอยู่)
กลับไม่ได้มีการพยายามสถาปนากระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านขึ้นในประเทศไทย
แม้ว่าจะมีการบังคับใช้นโยบายที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมเปลี่ยน
ผ่านบางประการในอดีตเช่นการออกคำสั่ง66/23เพื่อนิรโทษกรรมแก่ผู้ที่เข้าร่วม
กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย การสร้างอณุสรณ์สถานสิบสี่ตุลา การเนรเทศ
(ลงโทษ) ถนอมประภาส ณรงค์
จากกรณีสิบสี่ตุลาและการออกมากล่าวคำขอโทษอย่างเป็นทางการของสุรยุทธ์
จุลานนท์ต่อกรณีความรุนแรงในภาคใต้และล่าสุดการจ่ายเงินเยียวยาวแก่เหยื่อใน
เหตุการณ์ทางการเมืองช่วงปี52-53รวมไปถึงเหตุการณืทางการเมืองอื่นๆนับแต่
รัฐประหารสองห้าสี่เก้าและเหยื่อความรุนแรงในภาคใต้
ทว่าการบังคับใช้นโยบายทั้งหลายเหล่านี้กลับประสบความล้มเหลวในภาพรวม
สิ่งที่รัฐไทยทำอาจกล่าวได้ว่ารัฐไทยได้แต่ทำกระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่าน
ให้เป็นกระบวนการอยุติธรรมเปลี่ยนผ่านซึ่งหมายถึงการบังคับใช้กระบวนการ
ยุติธรรมเปลี่ยนผ่านอย่างพิกลพิการเพื่อให้บริหารประเทศต่อไปได้โดยไม่สนใจ
ว่าในระยะยาวความขัดแย้งอาจหวนกลับมาอีก
หากจะพิจารณาลึกลงไปนโยบายในกระบวนการยุติธรรมเปลี่ยน
ผ่านที่ถูกนำมาบังคับในรัฐไทยดังที่กล่าวมาในตอนท้ายของย่อหน้าก่อนมิได้
มีนโยบายใดที่เกี่ยวข้องกับการสืบหาและประกาศความจริงต่อสาธารณะ
นี่คงเป็นสาเหตุสำคัญที่กระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านไม่เคยทำความยุติธรรม
ให้บังเกิดในไทยเพราะกระบวนการค้นหาและทำความจริงให้ปรากฏไม่เคยเกิดขึ้น
กระบวนการอื่นๆที่เกิดขึ้นมาจึงดูพิกลพิการไปเสียสิ้นเช่นกรณีหกตุลาและ
สงครามประชาชนที่แม้ภายหลังจะมีการประกาศนิรโทษกรรมแต่ก็ไม่เคยมีการทำความ
จิงให้ปรากฎต่อสาธารณะว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังใครคือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
กับการกระทำความผิด การนิรโทษกรรมในกรณีดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่น่าขบขัน
ประการแรกไม่มีการพิสูจน์ว่าประชาชนและนักศึกษาที่ได้รับการนิรโทษกรรมนั้น
จริงๆแล้วพวกเขากระทำความผิดหรือปล่าว
เพราะหากไม่ได้กระทำความผิดก็ไม่ควรจะมีการนิรโทษกรรมเพราะไม่มีความผิดให้
นิรโทษ
ขณะเดียวกันในฝ่ายของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของรัฐก่อนการนิรโทษกรรมก็
ไม่ได้มีการใต่สวนหรือประกาศความผิดให้สาธารณชนรับ
เมื่อญาติของผู้เสียชีวิตไม่ได้ทราบความจริงการให้อภัยก็คงบังเกิดไม่ได้
ขณะที่เหยื่อของเหตุการณ์ก็ไม่ได้รับรื้อฟื้นตัวตนและศักดิศรีความเป็นมนษย์
ไม่มีที่ยืนทั้งในทางประวัติศาสตร์แห่งรัฐหรือการจัดสร้างอณุสรณ์สถาน
ที่สำคัญที่สุดเมื่อไม่มีการค้นหาประกาศความจริงก็ไม่มีการถอดหน้ากากและนำ
ตัวผู้บงการ(Master mind)
มาลงโทษซึ่งโดยทั่วไปการนิรโทษกรรมในกระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านมักไม่นับ
รวมผู้บงการ ล่าสุดในเหตุการณ์เมษาพฤษภา53
รัฐบาลที่ถูกเลือกมาโดยเหยื่อของเหตุการณ์ดูจะเพิกเฉยมีเพียงการจ่ายเงิน
เยียวยาทว่าไม่มีการทำความเป็นจริงให้ปรากฎ
รัฐบาลอ้างความปรองดองพักเรื่องการหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษหรือเพื่อให้
ประเทศเดินหน้าไปได้ อย่างไรก็ดีการปรองดองที่ปราศจากการค้นหาความจริง
นั้นเป็นเพียงการปรองดองจอมปลอมที่จะเป็นเสมือนระเบิดเวลาที่รอการระเบิดใน
อนาคต
กระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านคือสิ่งที่จะจะต้องสถาปนา
ในสังคมหลังสงครามกลางเมืองและความขัดแย้งทางการเมือง
หากปราศจากเสียซึ่งกระบวนการดังกล่าวก็ยากที่รัฐจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้
การบังคับใช้กระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านมิอาจกระทำได้โดยละเลยขั้นตอนใด
ขั้นตอนหนึ่งโดยเฉพาะกระบวนการค้นหาและสถาปนาความจริงเป็นสิ่งที่ยากจะ
ฟังขึ้น การใช้ข้ออ้างเรื่องความต่างทางวัฒนธรรม(Cultural relativism)
เป็นแต่เพียงการจุดชนวนระเบิดเวลาที่จะรอวันระเบิดเท่านั้น
หากรัฐไทยยังไม่เปลี่ยนวิธีคิดและการกระทำความสูญเสียที่รุนแรงกว่าเดิมคงจะ
เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก