โดย รองศาสตราจารย์ ดร.
วรพล พรหมิกบุตร
นักวิชาการเพื่อประชาธิปไตยและสันติวิธี
กรณีที่ประชาชนทั้งประเทศสามารถใช้สิทธิร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้
พิจารณาเพื่อดำเนืนคดีบุคคลในองค์กรการเมืองต่าง
ๆ
ที่กระทำการอันส่อว่าอาจเป็นความผิดทางอาญาและเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ
อาจแจกแจงได้ดังนี้ ;
๑, การร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีอาญาต่อแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่
จัดการชุมนุมประชาชนแต่มีการปิดกั้นขัดขวางสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนมากรวม
ทั้งเจ้าพนักงานประจำรัฐสภาจำนวนหนึ่งไม่ให้เดินทางเข้าปฏิบัติราชการในการ
ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง
พรบ. ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ ๔ ฉบับ
การกระทำดังกล่าวอาจมีเจตนาต้องการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ
ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ซึ่งอาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘
มีระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
๒. การร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีอาญาต่อสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จำนวนหนึ่งซึ่ง
ขี้นไปยื้อยุดฉุดตัวประธานสภาผู้แทนราษฎรบนบัลลังก์เหนือการประชุมสภาผู้แทน
ราษฎรขณะกำลังปฏิบัติราชการในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ
การกระทำของนักการเมืองกลุ่มดังกล่าวมีพฤติกรรมส่อว่าอาจมีเจตนาขัดขวางการ
ปฎิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญของประธานสภาผู้แทนราษฎร
การขัดขวางดังกล่าวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๓๘
นอกจากนั้นยังอาจเป็นการข่มขืนใจโดยใช้กำลังประทุษร้ายต่อประธานสภาผู้
แทนราษฎรให้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ
ซึ่งยังอาจเป็นความผิดเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๓๙
มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปีหรือปรับไม่เกินแปดพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
[1]
๓.
การร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีอาญาต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเฉพาะ
รายที่ร่วมกันมีมติให้ออกหนังสืออันมีลักษณะเป็นการใช้อำนาจกดดันหรือสั่ง
การให้ระงับการประชุมรัฐสภาซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินกระบวนการพิจารณาร่าง
แก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช
๒๕๕๐
การใช้อำนาจดังกล่าวอาจเป็นการกระทำผิดทั้งตามประมวลกฎหมายอาญาและอาจเป็น
การฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ ด้วยเหตุผลโดยสังเขป
ดังนี้ ;
๓.๑
การประชุมพิจารณาคำร้องขอให้ระงับการประชุมรัฐสภาที่จะพิจารณาเพื่อลงมติ
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว
อาจเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันที่มีเงื่อนไขให้ผู้ร้อง
ยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุดให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วย
ขณะที่อัยการสูงสุดยังไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มีอำนาจ
พิจารณาก่อนหน้ากระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงชองอัยการสูงสุด[2] ใน
กรณีดังกล่าวนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจรับคำร้องไว้ในระบบงานของศาลรัฐธรรมนูญ
แต่ยังไม่มีอำนาจประชุมพิจารณาเรื่องดังกล่าวก่อนการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ
อัยการสูงสุดจะดำเนินการ
รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวมิได้ให้อำนาจสิทธิขาดเป็นเอกเทศในเรื่องดังกล่าวแก่
ศาลรัฐธรรมนูญและศาลรัฐธรรมนูญเป็นเพียงองค์กรการเมืององค์กรหนึ่งที่ต้อง
ใช้อำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญ
มิใช่สามารถใช้อำนาจเหนือกว่าบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ
การกระทำของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวอาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๑๕๗
มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่น
บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
เพราะอาจเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐสภาและ
ประชาชน
๓.๒
การส่งหนังสืออันมีลักษณะเป็นการใช้อำนาจกดดันหรือสั่งการถึงเจ้าพนักงาน
รัฐสภาเพื่อให้แจ้งผู้มีอำนาจหน้าที่ให้ชะลอการประชุมรัฐสภาที่จะพิจารณาลง
มติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว
อาจเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาในการประชุมเพื่อใช้
อำนาจนิติบัญญัติโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ
ศาลรัฐธรรมนูญกระทำการดังกล่าวในขณะที่ยังไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าร่างรัฐ
ธรรมนูญดังกล่าวจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่[3] อำนาจวินิจฉัยสั่งการของศาลรัฐธรรมนูญจึงยังไม่เกิดเนื่องจากยังไม่มี
“กฎหมาย” ที่เป็นประเด็นขัดแย้งให้วินิจฉัย[4]
การดำเนินการของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้จึงอาจเป็นการใช้อำนาจอย่างฝ่าฝืน
หรือละเมิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเสียเอง
ซึ่งอาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๑๓๘ และ ๑๕๗
นอกจากนั้นยังอาจเป็นการใช้อำนาจที่เป็นปฏิปักษ์อย่างร้ายแรงต่อบทบัญญัติ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐
ซึ่งหากสมาชิกรัฐสภาผู้มีศรัทธามุ่งมั่นพิทักษ์รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวเป็น
ผู้มีความซื่อสัตย์ต่อตำแหน่งหน้าที่ของตนอย่างแท้จริงก็สมควรร่วมกันริ
เริ่มกระบวนการถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวโดยเร็วเพื่อป้องกันภัย
พิบัติร้ายแรงอันอาจเกิดขึ้นกระทบต่อศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรการเมืองอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป
คำแถลงท้ายบทความ
กระบวน
การยุติธรรมของไทยถูกเพ่งเล็งวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องโดยมีทั้งข้อเท็จ
จริงและเหตุผลรองรับว่าถูกบิดเบือนความเป็นธรรมโดยผู้มีอำนาจแบบเผด็จการ
การใช้สิทธิของประชาชนในประเด็นทั้งสามที่กล่าวถึงข้างต้นจะเผชิญกับปัญหา
อุปสรรคในกลไกอันยืดยาวต่อเนื่องของกระบวนการยุติธรรม
(ตำรวจ อัยการ ศาลยุติธรรม)
แต่มีความจำเป็นที่ประชาชนทั่วประเทศจะต้องระดมกันใช้สิทธิแจ้งความร้อง
ทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน
(ตำรวจ) เพื่อแสดงให้เห็นว่าประชาชนยังยืนยันว่าตนเองเป็น “เจ้าของอำนาจอธิปไตย”
ที่แท้จริงของประเทศและจะไม่ยินยอมให้องค์กรการเมืองใดใช้อำนาจอย่างบิด
เบือนความเป็นธรรมหรือใช้อำนาจในทางที่เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
และเพื่อพิสูจน์ด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ว่ากระบวนการยุติธรรมของไทย
สามารถอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างตรงไปตรงมาและ
ทันท่วงทีต่อสถานการณ์ที่เป็นอันตรายต่อประชาชนในระบอบประชาธิปไตยหรือไม่
ผลการพิสูจน์เรื่องนี้จะมีความสำคัญยิ่งยวดต่ออนาคตของประเทศและสวัสดิภาพ
ทางการเมืองของประชาชนโดยส่วนรวม
ในการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนนั้นประชาชนไม่จำเป็นและไม่
ควรผูกมัดตนเองเป็นโจทก์ผู้กล่าวหาโดยตรง
เนื่องจากอาจถูกอำนาจส่วนใดส่วนหนึ่งของบุคคลากรในกลไกอันยืดยาวของกระบวน
การยุติธรรมที่บิดเบือนกลับมาทำร้ายทางกฎหมายต่อประชาชน
แต่ประชาชนสามารถแจ้งความร้องทุกข์ในฐานะผู้ให้เบาะแสข้อเท็จจริง
(เช่น ข้อเท็จจริงจากรายงานข่าวทางสื่อมวลชนต่าง ๆ ประกอบกัน)
แล้วแจ้งความจำนงให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไปตามอำนาจหน้าที่ทางราชการ
โดยไม่ชักช้า
ประชาชนสามารถติดตามทวงถามความคืบหน้าในการดำเนินการของพนักงานเจ้าหน้าที่
ได้ตามลำดับเวลาอันเหมาะสมและไม่เนิ่นช้าจนสถานการณ์ลุกลามบานปลายเป็นโทษ
ต่อประชาชนในระบอบประชาธิปไตย
ในอนาคตอันใกล้ภายใน ๑-๒
สัปดาห์อาจมีความพยายามต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาของกลุ่มการเมืองที่
เป็นปฏิปักษ์กับอำนาจรัฐบาลปัจจุบัน ในอันที่จะใช้สถานการณ์ต่าง ๆ
ยกระดับการเผชิญหน้าสร้างความรุนแรงทางมวลชนให้เพิ่มมากขึ้นเพื่อหลอกล่อต่อ
ไปให้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตรประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและเพื่อเปิดทางให้กองทัพกลับเข้ามีอำนาจใน
การถืออาวุธปราบปรามอีกครั้ง
หากคณะรัฐมนตรีมีการประชุมเพื่อลงมติให้นายกรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ฉุก
เฉิน
ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฉบับดังกล่าวจะเป็นเสมือนคำสั่งประหารอายุราชการของ
รัฐบาลเองและจะกลายเป็นคำสั่งที่ก่อปัญหาร้ายแรงให้แก่กระบวนการประชาธิปไตย
ของประชาชนเสียงส่วนใหญ่ของประเทศที่ได้เสียสละทุ่มเทตนเองใช้ความเพียร
พยายามในการทำให้พรรครัฐบาลปัจจุบันได้รับการเลือกตั้งเป็นเสียงส่วนใหญ่ใน
รัฐสภา
ผู้บัญชาการทหารบกให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ปฏิเสธข่าวการรัฐประหารและกล่าวว่าทหารปัจจุบันมีหน้าที่ขุดคลองตามคำสั่ง
รัฐบาล
ทหารปัจจุบันควรทำหน้าที่พัฒนาสร้างสรรค์ประเทศทำนองนั้นต่อไป
ขณะที่ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศในปัจจุบันอย่างมากที่สุดควร
เป็นหน้าที่การป้องกัน แก้ไข
ปราบปราม
และดำเนินคดีโดยอำนาจหน้าที่ของตำรวจและหน่วยงานราชการที่ไม่ใช่กองทัพ
ข้ออ้างที่อาจมีการระบุในอนาคตว่าสถานการณ์ได้ยกระดับความรุนแรงเกินกำลัง
สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นข้ออ้างที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลมากกว่า
จะเป็นการค้ำจุนรัฐบาลให้ดำรงตำแหน่งงครบสี่ปีตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ
ในสถานการณ์ดังกล่าวนี้ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการ
เผชิญหน้าทางมวลชนที่จะกลายเป็นการช่วยสร้างความรุนแรงตาม
ความต้องการของกลุ่มพลังอนาธิปไตยที่เป็นพันธมิตรกับระบอบเผด็จการ
ทั้งนี้
ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยยังสามารถแสวงหาวิธีการร่วมกันทั้งประเทศในการ
ประกาศตนร่วมกันว่าต่อต้านอำนาจที่เป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตยซึ่ง
กำลังดำเนินการเคลื่อนไหวผ่านกลุ่มพลังมวลชนและองค์กรการเมิองต่าง
ๆ ในการยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐
เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ประชาชนซึ่งต้องการระบอบประชาธิปไตยต้องร่วมกัน
แสดงเจตนารมณ์ผลักดันดำเนินการอย่างสันติวิธีทั้งประเทศให้รัฐสภาสามารถ
ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไปไม่ให้สะดุด
ข้อกล่าวอ้างเหตุผลว่าพรรคแกนนำรัฐบาลควรยับยั้งหรือชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เสียก่อนเป็นการชั่วคราวเพื่อมิให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลายกระทบต่อเสถียรภาพ
ของรัฐบาลนั้นอาจสมเหตุสมผลในสถานการณ์ที่พรรคแกนนำรัฐบาลไม่มีเสียงส่วน
ใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎรช่วยรองรับสนับสนุน
หากพรรคแกนนำรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎรไม่ดำเนินการคืบหน้าต่อไปในการแก้ไขรัฐ
ธรรมนูญต่างหากที่จะกลับกลายเป็นการบั่นทอนเสถียรภาพของรัฐบาลและทำลายความ
น่าเชื่อถือของพรรคแกนนำรัฐบาลว่าไม่มีความสามารถดำเนินการตามที่ประกาศใน
นโยบายหาเสียงกับประชาชน พรรคฝ่ายค้านที่ร่วมมือกับกลุ่มและองค์กรต่าง
ๆ
ในการสร้างอุปสรรคขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่างหากที่จะได้ประโยชน์ทั้งใน
ระยะสั้นและระยะยาวทางการเมืองหากพรรคแกนนำรัฐบาลไม่สามารถดำเนินการเร่งรัด
ผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จต่อไปตามที่ได้ริเริ่มดำเนินการไว้แล้ว
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพรรคแกนนำรัฐบาลปัจจุบันอยู่ในสถานการณ์ที่ดีที่
สุดกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐
เนื่องจากมีประชาชนจำนวนท่วมท้นเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศที่พร้อมจะสนับ
สนุนและปกป้องแม้แต่จะต้องออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการรัฐประหารหากจะเกิดขึ้น
อีกครั้งในปีพุทธศักราช
๒๕๕๕
การเผชิญหน้าต่อสู้กันระหว่างพลังผลักดัน
“การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐” กับพลังต่อต้านการแก้ไชรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวได้ทวีความตึงเครียดมากขึ้นตามลำดับ
แต่ก็มีข้อบ่งชี้ถึงภาวะจนตรอกของกลุ่มอำนาจที่มีรากฐานมาจากการรัฐประหาร
๒๕๔๙ ด้วยเช่นกัน
วันที่ ๔ มิถุนายน
๒๕๕๕
[1] นอก
จากนี้
การขัดขวางมิให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญยังเป็นการ
กระทำที่เป็นปฎิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐
หากสมาชิกรัฐสภาที่เชื่อมั่นศรัทธาปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวมีความซื่อ
สัตย์ต่อตนเองอย่างแท้จริงก็ควรริเริ่มกระบวนการถอดถอนบรรดาสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎรที่กระทำการอุกอาจดังกล่าวเสียด้วยตนเองแทนที่จะรอขัดขวางกระบวนการถอด
ถอนที่พรรคการเมืองอื่นอาจริเริ่มดำเนินการ
[2] หลัก
กฎหมายเดียวกับการที่ศาลยุติธรรมยังไม่สามารถนั่งประชุมพิจารณาคดีความได้
หากอัยการยังไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีมูลเพียงพอที่จะสั่งฟ้องจำเลย
[3] ประธานศาลรัฐธรรมนูญให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน (รายงานข่าวสื่อมวลชนวันที่
๓ มิถุนายน ๒๕๕๕) โดยใช้คำว่า “หรือไม่” และไม่อาจยืนยันได้ว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองตามที่มีการใช้เป็นข้ออ้างทางกฎหมายในการร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งระงับการประชุมพิจารณาลงมติร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว
(แต่ศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้อำนาจในทางที่ส่อว่าเป็นการขัดขวางการประชุมรัฐสภาไปเรียบร้อยแล้ว)