โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิตสมบูรณ์
จาก โลกวันนี้วันสุข
8 มิถุนายน 2555
จาก โลกวันนี้วันสุข
8 มิถุนายน 2555
นักปรัชญาเมธีท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า “ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยตนเองสองครั้ง ครั้งแรกเป็นโศกนาฏกรรม ครั้งที่สองเป็นละครตลกปนสมเพช”
แต่สำหรับประเทศไทย
ต้องมีสามครั้ง
สองครั้งแรกเป็นโศกนาฏกรรมคือ รัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทยปี
2549 และการโค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชนปี 2551 ส่วนครั้งที่สามก็คือ
การพยายามโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในขณะนี้ กำลังจะเป็นละครตลกปนสมเพช
นับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ
3 กรกฎาคม 2554 พวกเผด็จการก็ได้ดำเนินมาตรการหลอกลวงและแยกสลายต่อฝ่ายประชาธิปไตยมาโดยตลอด
ใช้ประโยชน์จากความเพ้อฝันของแกนนำพรรคเพื่อไทยที่หวัง “ปรองดองและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ”
กับพวกเผด็จการ พวกเขาส่ง “สัญญาณประนีประนอมหลอก ๆ” โดยหวังผลสองด้านคือ
ด้านหนึ่ง เพื่อดึงแกนนำพรรคเพื่อไทยให้ออกห่างจากฐานมวลชนของตนเอง
ทำให้พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลตกในสถานะโดดเดี่ยวและอ่อนแอ ถูกทำลายได้ง่าย อีกด้านหนึ่ง
ก็เพื่อสร้างความระส่ำระสายหมดกำลังใจและถอยห่างในหมู่มวลชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย
เมื่อพรรคเพื่อไทยพยายามผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา
291
ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
และพระราชบัญญัตปรองดองแห่งชาติที่มุ่งยกเลิกคดีการเมืองทั้งปวงที่เป็นผล
จากรัฐประหาร
2549 ฝ่ายเผด็จการก็มิอาจนิ่งเฉยต่อไปได้
จึงต้องดำเนินการรุกกลับทันที
สำหรับพวกเผด็จการแล้ว รัฐธรรมนูญ 2550 กับคดีการเมืองทั้งปวงที่โยนใส่
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและนักการเมืองพรรคไทยรักไทย คือหลักประกันเฉพาะหน้าในอำนาจปัจจุบันของพวกเขา
เป็นดอกผลทางการเมืองสำคัญที่สุดที่พวกเขาได้รับจากรัฐประหาร 2549 หากปล่อยให้ฝ่ายประชาธิปไตยแก้ไขสองประเด็นนี้สำเร็จ
พวกเขาก็จะ “ไม่ได้อะไรเลย” จากรัฐประหาร ทั้งยังได้สูญเสีย “ทุนทางการเมือง”
ของตนไปอย่างมากมายมหาศาลแล้วอีกด้วย
ในสองครั้งแรกปี 2549 และ 2551
ประชาชนจำนวนมากยังไม่รู้เท่าทัน การเคลื่อนไหวของพวกเผด็จการผ่านมือเท้า เช่น
กลุ่มพันธมิตรฯ พรรคประชาธิปัตย์ ตุลาการ และทหาร จึงน่าตกใจและไม่อาจเข้าใจได้ทันท่วงที
แต่เผด็จการไทยก็เหมือนอาชญากรการเมืองอื่น ๆ ทั่วโลกคือ
ชะล่าใจกระทำการซ้ำอีกโดยเชื่อว่า ประชาชนยังโง่อยู่ หรือถึงประชาชนรู้
ก็ไม่มีทางตอบโต้ ในครั้งที่สาม พวกเขากำลังทำผิดพลาด เพราะมาถึงวันนี้ ประชาชนรู้และจะไม่นิ่งเฉยอีกต่อไป
ท้ายสุด เครื่องมือและวิธีการเก่า ๆ ก็จะมีประสิทธิผลน้อยลงทุกที
เปรียบเสมือนผู้ลงทุนสร้างและผู้กำกับละครที่ใช้เค้าโครงเรื่อง ฉากหลัง
และตัวละครซ้ำเป็นครั้งที่สาม จนประชาชนคนดูเอือมระอาเต็มทน คนพวกนี้คือ สิ่งมีชีวิตทางการเมืองที่พ้นยุคสมัยไปแล้วอย่างแท้จริง
เรา
จึงได้เห็นพวกเขาหันมาใช้ “สี่ขาหยั่ง”
ของตนซ้ำอีกคือ กลุ่มอันธพาลการเมืองบนท้องถนนก่อกวนสร้างสภาวะจลาจลนอกสภา
พรรคประชาธิปัตย์ก่อความปั่นป่วนทำลายกระบวนการนิติบัญญัติในรัฐสภาและสนับ
สนุนการก่อความวุ่นวายนอกสภา
องค์กรตุลาการใช้ “กฎหมาย” มาทำลายรัฐบาลและสภาที่มาจากการเลือกตั้ง
แล้วจบลงด้วยการแทรกแซงของกองทัพ
เหมือนสองครั้งแรก ทั้งหมดนี้ ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ บิดเบือน ยุยงให้ท้าย
ไส้ไคล้เป็นเท็จโดยสื่อมวลชนและนักวิชาการที่หากินอยู่กับเผด็จการ
การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องคัดค้านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่ผ่านอัยการสูงสุด
แล้วอ้างข้อกำหนดศาล ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 264 มี “คำสั่ง” ให้รัฐสภา
“ชะลอ” การพิจารณาวาระสามร่างแก้ไขฯ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย เหล่านี้ได้ถูกผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายมหาชน
เช่น คณะนิติราษฎร์ ชี้แล้วว่า เป็นการใช้อำนาจเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนด เป็นการก้าวก่ายครอบงำการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติโดยตรง
ผล
เฉพาะหน้าของ “คำสั่ง” ศาลรัฐธรรมนูญคือ
เป็นการยับยั้งกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญและอาจนำไปสู่การ
“ทำแท้ง” ด้วยคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า ร่างแก้ไขฯฉบับนี้
ขัดรัฐธรรมนูญเพราะเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรง
เป็นประมุข
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ ยังไม่มีใครหยั่งรู้ได้ว่า
เนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเป็นอย่างไร
นี่คือการตัดตอนให้เป็นบรรทัดฐานว่า นับแต่นี้ไป การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับไม่ว่าจะครั้งไหน
เมื่อไร ล้วนทำไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะทุกครั้งอาจเข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข!
และในกรณีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังอาจเลยไปถึงสั่งยุบพรรคเพื่อไทย
ส่วนบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เข้าชื่อเสนอร่างแก้ไขฯ ก็เข้าข่ายมีความผิด
ถูกถอดถอนและอาจถูกดำเนินคดีอาญาอีกด้วย!
แต่ผลในระยะยาวคือ อำนาจตุลาการกำลังเข้าครอบงำและทำลายกระบวนการนิติบัญญัติทั้งหมด
เพราะในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญสามารถอ้างข้อกำหนดและกฎหมายที่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ มาสั่งฝ่ายนิติบัญญัติให้
“ชะลอ” การทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญได้ นี่ก็จะกลายเป็นบรรทัดฐานให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้าแทรกแซงและ
“ชะลอ” การพิจารณาออกกฎหมายอื่น ๆ ได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญจะ “กดปุ่มสั่ง”
ให้รัฐสภา “หยุด” เมื่อไรก็ได้
ทั้งหมดนี้ เป็นการเผยให้เห็นเนื้อแท้ของรัฐธรรมนูญ 2550
ว่า
เป็นรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ
ที่กลุ่มอำนาจนิยมจำนวนไม่กี่คนกุมอำนาจการปกครองที่แท้จริง
ผ่านองค์กรตุลาการที่ไม่ได้มาจากกระบวนการเลือกตั้งของประชาชน
เป็นอำนาจที่อยู่เหนือและครอบงำอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารอย่างเบ็ด
เสร็จ
คำว่า “ตุลาการรัฐประหาร”
ก็คือการที่ตุลาการสามารถอ้างอิงหลักตรรกะ เลือกใช้ภาษาไทยและ “พจนานุกรม” มาตีความตัวหนังสือในกฎหมายรัฐธรรมนูญตามที่ตนเห็นชอบ
เข้าแทรกแซงกระบวนการนิติบัญญัติและ “ถอดถอนลงโทษ”
นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งได้โดยไม่มีใครท้วงทิงตรวจสอบได้
หากพรรคเพื่อไทยยอมจำนน ก็เท่ากับว่า
ได้สูญเสียอำนาจนิติบัญญัติไปโดยสิ้นเชิง ทั้งประธานสภา รองประธานสภา
และบรรดาสมาชิกสภา เป็นได้เพียง “เจว็ด” ในห้องประชุม และคะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชน
ก็คือ เสียงนกเสียงกาที่ไร้ความหมาย
พรรคเพื่อไทยจะต้องแสดงความกล้าหาญ
ยืนยันสถานะของสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งว่า มาโดยมติมหาชนอันชอบธรรม
เป็นหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตย เป็นตัวแทนอำนาจนิติบัญญัติของปวงชนชาวไทย
ที่มิอาจยอมจำนนต่อคำสั่งที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญเช่นนั้นได้