ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Tuesday, 29 May 2012

ACT4DEM ร่อนจดหมายเปิดผนึกค้านพรบ. ปรองดองฉบับโจร

ที่มา Thai E-News


29 พฤษภาคม 2555
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์

ที่มา  Time Up Thailand  "จดหมายเปิดผนึก คัดค้าน พรบ. ปรองดองฉบับหัวหน้าคณะรัฐประหาร 2549"


 
29 พฤษภาคม 2555

เรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร และสมาชิกรัฐสภาทุกท่าน

คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ประกาศยึดประเทศและโค่นรัฐบาลที่ได้รับการเลือกต้ังมาจากประชาชนในเวลา 22.54 น.​ คืนวันที่ 19 กันยายน 2549 และเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเวลาเกือบเที่ยงคืน  ในวันที่ 20 กันยายน คปค. ออกประกาศฉบับที่ 3/2549 ให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 สิ้นสุดลง ให้วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี และศาลรัฐธรรมนูญ สิ้นสุดลงพร้อมกับรัฐธรรมนูญ ให้คณะองคมนตรีดำรงตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ให้ศาลคงอำนาจหน้าที่ต่อไป ในวันที่ 22 กันยายน เวลา 12.00 น. โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถ่ายทอดเทปบันทึกภาพ พิธีรับสนองพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข และในวันที่  1 ตุลาคม คปค. ประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) 2549 ทั้งนี้ในมาตรา 37  ระบุนิรโทษกรรคผู้ก่อการรัฐประหารทั้งหมด “ไม่ว่าเป็นการกระทำเพื่อให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ รวมทั้งการลงโทษและการกระทำอันเป็นการบริหารราชการอย่างอื่น ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ และไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้นหรือก่อนหรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง”

นี่คือธรรมเนียมปฏิบัติของการรัฐประหารในประเทศไทยที่ประสบความสำเร็จเป็นครั้งที่ 9 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ผ่านไป 6 ปี นอกจากไม่มีผู้ร่วมในการทำการรัฐประหารโค่นกระบวนการประชาธิปไตยแม้แต่คน เดียว(อีกครั้งหนึ่งแล้ว) ได้รับโทษจากการล้มล้างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ หัวหน้าคณะรัฐประหารยังได้ก่อตั้งพรรคการเมืองและนั่งอยู่ในสภาในฐานะ "ประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ (กมธ.ปรองดอง) สภาผู้แทนราษฎร" โดยขณะนี้ได้ชงร่าง "พระราชบัญญัติว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ" ที่ระบุว่า “ อันเป็นไปตามประเพณีที่ประเทศไทยเคยปฏิบัติมาแล้วหลายครั้งและเป็นไปตาม มาตรฐานสากลด้วยการนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดอันมีสาเหตุจากความขัดแย้ง ทางการเมืองที่ได้กระทำระหว่างวันที่ 15 กันยายน 2548 จนถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2554”

ทั้งนี้ พรบ.​ปรองดอง หรือ พรบ. นิรโทษกรรมฉบับนี้ ในหลายมาตรา เป็นการให้นิรโทษกรรมเหมาเข่ง ทั้งผู้ที่สมคววรจะได้รับการนิรโทษกรรมทางการเมืองอย่างแท้จริง ซึ่งได้แก่ 3.1) บรรดาการกระทำใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง และทั้งกลุ่มที่ต้องรับผิดชอบในการก่อความรุนแรง 3.2) การกระทำทั้งหลายของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลใดๆ อันเกี่ยวเนื่องกับการป้องกัน ระงับหรือปราบปรามในเหตุการณ์  มาตรา 4) ถ้าผู้กระทำการตามมาตรา 3 อยู่ในระหว่างการสอบสวนให้ผู้มีอำนาจสอบสวนระงับการสอบสวนผู้นั้น ...ฯลฯ ครอบคลุมระยะเวลา มาตรา 3) ...ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2548 จนถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2554 หากมีการกระทำใดเป็นความผิดตามกฎหมาย ให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป และให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง

นอกจากนี้ในพรบ. ฉบับนี้ในมาตรา 5 ระบุว่า “ให้ถือว่าบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการหรือการปฏิบัติทั้งหลายของ องค์กรหรือคณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยประกาศหรือคำสั่งของคณะปฏิรูปการ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) หรือคำสั่งของหัวหน้า คปค. ซึ่งได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 หรือการดำเนินการหรือการปฏิบัติทั้งหลายขององค์กร หรือหน่วยงานอื่นใดอันเป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินการหรือการปฏิบัติของ องค์กรหรือของคณะบุคคลดังกล่าว มิได้เป็นผู้ถูกกล่าวหาหรือเป็นผู้กระทำความผิด”​

ทางรัฐบาลจะประเมินความเสียหายของประเทศไทยนับตั้งแต่รัฐประหาร 2549 และจะชดเชยได้อย่างไร ถ้าไม่นำตัวผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำรัฐประหารมารับผิดชอบ และเพื่อป้องกันไม่ให้ทหารทำรัฐประหารโค่นประชาธิปไตยได้อีกในอนาคต

แน่นอนว่าการทำให้ประเทศก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมีเสถียรภาพ สันติสุข พูนสุข และอย่างยั่งยืน เป็นเป้าหมายร่วมของประชาชนทุกคนในประเทศไทย แต่เราไม่เห็นว่า พรบ. ปรองดองที่เต็มไปด้วยช่องโหว่และข้อกังขาฉบับนี้ของพลเอกสนธิ หัวหน้าคณะรัฐประหารโค่นการเมืองประชาธิปไตยเมื่อปี 2549  จะสามารถยุติความขัดแย้งในสังคมไทยได้ และไม่มีทางที่การผ่าน พรบ. ฉบับนี้ จะทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ รังแต่จะยิ่งเพิ่มความรุนแรงของความขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองมากยิ่งขึ้น ถ้าประเทศไทยไม่ได้ปักหมุดแห่งการยึดมั่น เคารพและปฏิบัติตามหลักการยุติธรรมที่ได้มาตรฐานสากลและมีมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ

ประเทศจะก้าวไปข้างหน้า นักการเมืองที่เป็นตัวแทนที่ประชาชนเลือก จะต้องกล้าหาญในการนำประเทศด้วยการยึดมั่นในหลักการ ด้วยความซื่อตรง ซื่อสัตย์ ยุติธรรม โดยส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศทั้งทาง ตรง(การเลือกตั้ง) และทางอ้อม อาทิการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และการร่วมแสดงพลังประชามติในประเด็นปัญหาที่ละเอียดอ่อนต่างๆ  ทั้งนี้การปรองดองและนิรโทษกรรมเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนที่ต้องให้ประชาชน ร่วมตัดสินใจ

จึงขอเสนอแนะมายังคณะรัฐบาลและรัฐสภา ดังต่อไปนี้

1.     ขอให้ถอนญัตติการพิจารณาร่างพรบปรองดองแห่งชาติ ฉบับพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ออกจากวาระการพิจารณาโดยทันที
2.     ขอให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเรื่องการปรองดอง โดยที่รัฐบาลตั้งคณะกรรมการที่ประกอบจากทุกภาคส่วน (ย้ำว่าทุกภาคส่วน โดยเฉพาะต้องมีตัวแทนจากครอบครัวและตัวผู้ได้รับผลกระทบทางการเมือง) เพื่อร่างข้อเสนอ ทางเลือก เพื่อทำประชาพิจารณ์ให้ประชาชนร่วมลงประชามติ
3.    ในระหว่างนี้ขอให้ปล่อยตัวนักโทษการเมือง รวมทั้งนักโทษคดีมาตรา 112 และพรบ.คอมพิวเตอร์ทุกคนโดยทันที และหยุดดำเนินคดีทั้งหมดจนกว่าจะได้ผลการลงประชามติ


จึงเรียนมาด้วยความเชื่อมั่นยิ่งว่า ขณะนี้รัฐบาลก็เดินหน้าได้ ไม่จำเป็นต้องรีบเร่งผลักดันเรื่องการปรองดองอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ จนละเลยต่อหลักการแห่งความยุติธรรม(ทางความแพ่งและทางอาญา) ต่อผู้สูญเสียและผู้ได้รับผลกระทบและประชาชนทุกคน ทั้งนี้คณะรัฐบาล คณะผู้แทนในรัฐสภาทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน รวมทั้งประชาชนทุกกลุ่ม ทุกสถาบันในประเทศไทย ต้องการเห็นประเทศเดินไปข้างหน้า และเชื่อว่าจำนวนไม่น้อยพร้อมร่วมกันนำพาประเทศผ่านความคิดต่างทางการเมือง ด้วยความยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย เพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่ประชาชนทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ประเทศสันติสุข ยุติธรรม พูนสุข และยั่งยืนอย่างแท้จริง

ขอแสดงความนับถือ
ACT4DEM
แอคชั่นเพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทย