ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Wednesday, 8 February 2012

ชำนาญ จันทร์เรือง: ความผิดพลาดของนิติราษฎร์

ที่มา ประชาไท

ในฐานะที่เป็นผู้หนึ่งที่ร่วมลงชื่อพร้อมหลักฐาน คือ สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน เพื่อเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยมิได้เป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของคณะรณรงค์แก้ไข ม.112 หรือ ครก.แต่อย่างใด และไม่ได้เห็นด้วยกับข้อเสนอของนิติราษฎร์ในทุกข้อ เพียงแต่เห็นด้วยในหลักการโดยรวมว่าควรที่จะต้องมีการแก้ไขปรับปรุงประมวล กฎหมายอาญามาตรานี้และเห็นด้วยในหลักการที่จะต้องมีการปฏิรูปกองทัพและ ปฏิรูปศาล แต่เมื่อได้ติดตามความเคลื่อนไหวมาระยะหนึ่งแล้วพบว่า กระบวนการดำเนินการของนิติราษฎร์นั้นยังมีความผิดพลาดอยู่ในบางประเด็น คือ

1) นิติราษฎร์มองประเด็นกฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว โดย เชื่อว่าเมื่อเป็นการกระทำที่ไม่ผิดกฎหมายแล้วย่อมสามารถทำได้โดยไม่สนใจ ประเด็นอื่นๆ ซึ่งนิติราษฎร์อ้างว่าได้จุดชนวนหรือเสนอประเด็นแล้ว การเคลื่อนไหวเป็นเรื่องของ ครก.ไม่ใช่เรื่องของตนเอง (ทั้งๆที่บางคนในนิติราษฎร์ก็เป็น ครก.ด้วย) จึงทำให้เกิดผลประหลาด(absurd)ตามมา เช่น ผู้ที่ร่วมลงชื่อในตอนแรกหลายคนออกมาปฏิเสธว่าเห็นด้วยแต่ไม่ได้หมายความว่า จะต้องไปเซ็นชื่อเพื่อเสนอกฎหมายพร้อมกับหลักฐาน เป็นต้น

ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือ กรณีของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่หลายคนออกมารุมประณามอย่างเสียๆหายๆซึ่งผมไม่เห็นด้วย เพราะผมเห็นว่าเป็นตัวตนและสิทธิของเสกสรรค์โดยแท้ กอปรกับในการติดต่อขอรายชื่อนั้นยังมีความไม่ชัดเจน เพราะโดยปกติในกระบวนการขอรายชื่อเพื่อเคลื่อนไหวอะไรสักอย่างหรือเพื่อออก แถลงการณ์นั้นจะต้องมีความชัดเจนว่าจะเอารายชื่อไปทำอะไร ที่ไหน อย่างไร หากเอาไปทำแถลงการณ์ก็ต้องมีการเวียนเนื้อหาให้ดูก่อน หากจะให้ดีก็ต้องเปิดโอกาสให้แก้ไขก่อนเผยแพร่ด้วยก็จะยิ่งสมบูรณ์แบบ

ในกรณีเดียวกับเสกสรรค์นี้ยังหมายความรวมถึงอีกหลายๆคน ซึ่งผมไม่อยากยกมาเป็นตัวอย่างเดี๋ยวเจ้าตัวผู้ที่เล่าให้ฟังจะเคืองกัน เปล่าๆ จึงทำได้เพียงแต่มีเสียงบ่นเบาๆเพราะไม่อยากให้ไปกระทบต่อการเคลื่อนไหวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแถลงข่าวของ ครก.ครั้งล่าสุดที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลานั้น 112 คนในรายชื่อนั้นถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ ครก.หรือไม่ ที่สำคัญก็คือหากถือว่าเป็นแล้ว รายชื่อนั้นเห็นด้วยแล้วหรือไม่ อย่างไร หากไม่ถือว่าเป็น ครก.แล้ว 112 คนนั้นอยู่ในฐานะอะไรเพราะหลายคนไม่ได้ลงชื่อพร้อมหลักฐานเพื่อยื่นขอแก้ไข กฎหมายแต่อย่างใด ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าการมองเพียงประเด็นทางกฎหมายแต่เพียงอย่างเดียวนั้นยัง ไม่เพียงพอ ต้องมองประเด็นอื่นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ประเด็นทางการเมือง

แม้ ว่าวรเจตน์ ภาคีรัตน์จะออกมาย้ำอยู่เสมอแม้ในครั้งล่าสุดจากการให้สัมภาษณ์ต่อจอมขวัญ หลาวเพชร ในรายการคมชัดลึกว่ามิใช่ความเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นแต่เพียงการเสนอความเห็นทางวิชาการก็ตาม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการเสนอให้แก้ไข ม.112 โดยการเปิดเวทีเพื่อระดมรายชื่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเสนอความเห็น ในสื่อต่างๆนั้น คือ “การเมือง”ตามนิยามศัพท์ทางทฤษฎีรัฐศาสตร์อย่างแน่นอน (การ เมือง คือ การได้มาซึ่งอำนาจ เพื่อที่จะตัดสินว่าใครจะได้อะไร เมื่อใด และอย่างไร - Politics is,who gets “What”, “When”, and “How– Harold Lasswell) ซึ่งมิใช่เรื่องที่จะต้องออกมาปฏิเสธเพื่อลอยตัวแต่อย่างใด เพราะการเคลื่อนไหวทางการเมืองภายใต้การรองรับของรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเรื่อง ที่สามารถกระทำได้อยู่แล้ว และไม่ต้องกลัวว่าความเห็นทางวิชาการจะถูกแปดเปื้อนจากการเมืองแต่อย่างใด จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่จะถูกมองว่า “เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง”อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อันว่าฝ่ายการเมืองนั้น นิติราษฎร์จะต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความสำคัญต่อการเคลื่อนไหวทั้งในทางบวกและลบ แต่ที่แน่ๆก็คือพรรคเพื่อไทยนั้นไม่เอาด้วยอย่างแน่นอนเพราะพรรคเพื่อไทย ย่อมเห็นว่าจะกระทบต่อการเกี้ยเซี้ยระหว่างพรรคเพื่อไทยกับกองทัพและอำมาตย์ ทั้งหลาย ทั้งๆที่หากปล่อยสถานการณ์ ม.112 ไปอย่างนี้จะเป็นผลกระทบต่อสถาบัน แต่พรรคเพื่อไทยยังเลือกที่จะไม่ทำอะไรให้เปลืองตัว

2) นิติราษฎร์กำหนดกลยุทธหรือจัดลำดับความสำคัญผิด เพราะ ในสถานการณ์หลังการรัฐประหารกันยา 49 และตุลาการภิวัฒน์ ย่อมเป็นโอกาสอันดีที่จะเสนอแนวคิดที่จะปฏิรูปกองทัพและศาล ซึ่งจะสามารถหาแนวร่วมได้มากมายมหาศาลจากผู้ที่ได้รับความคับแค้นใจ หรือขุ่นข้องหมองใจจากการแทรกแซงทางการเมืองขององค์กรทั้งสองมาโดยตลอด แต่นิติราษฎร์กลับจัดลำดับความสำคัญแก่ ม.112 ก่อน จึงเข้าทางของกองทัพและ(โฆษก)ศาลตลอดจนแนวร่วมที่ต่างก็ดาหน้าออกมารุมสหบา ทานิติราษฎร์กันอย่างเมามัน

จะเห็นได้ว่าการที่นิติราษฎร์ออกมาแถลงเกี่ยวกับ ม.112 ก่อน แรงต้านยังไม่ปรากฏเท่าใดนัก แต่พอไปเสนอปฎิรูปกองทัพและศาลตามมาเลยไปเข้าล็อกของฝ่ายที่เสวยสุขจากการ รัฐประหารและพวก Ultra Royalist (ผู้เป็นราชายิ่งกว่าพระ ราชาธิบดี) ทั้งหลายที่พากันออกมารุมยำนิติราษฎร์เสียเละตุ้มเป๊ะ ซึ่งหากนิติราษฎร์ดำเนินการในทางกลับกันโดยเอาประเด็นปฏิรูปกองทัพและศาล ขึ้นมาก่อนแล้วทิ้งช่วงไว้สักระยะหนึ่ง พอประเด็นนี้ติดแล้วจึงค่อยเสนอประเด็น ม.112 ตามมา หากดำเนินดังที่ว่านี้ผลที่ตามมาก็จะไม่ออกมาเช่นนี้ เพราะเหตุผลที่อ้างความจงรักภักดีย่อมฟังดูดีกว่าการอ้างว่าชื่นชอบรัฐ ประหารอย่างแน่นอน ยกเว้นคนบางคนแถวบ้านพระอาทิตย์ที่ผีเข้าตอนตรุษจีนที่ออกมาเรียกร้องให้ ทหารออกมายึดอำนาจ แต่ก็ไม่พ้นเรื่องการอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเหตุผลเรียกร้องให้ทหาร ออกมาทำรัฐประหารอยู่ดี

ผมเชื่อว่าการปฎิรูปกองทัพและศาลนั้นถึงแม้จะเป็นงานหิน แต่ก็ง่ายกว่าประเด็น ม.112 แน่นอน การหวังผลความสำเร็จของงานในลักษณะเช่นนี้ย่อมเริ่มจากงานที่ง่ายไปสู่งาน ที่ยากเป็นลำดับ เพราะผลแห่งความสำเร็จในงานแรกย่อมเป็นพลังอย่างดีที่จะขับเคลื่อนงานที่ตาม มาอย่างแน่นอน

หรืออีกนัยหนึ่งในความเป็นจริงซึ่งเมื่อนิติราษฎร์ได้เสนอประเด็น ม.112 ไปก่อนแล้ว หากเสนอเพียงประเด็นนี้เพียงประเด็นเดียวโดยไม่รีบด่วนเสนอประเด็นแก้ไขรัฐ ธรรมนูญเพื่อปฏิรูปกองทัพและศาลในระยะเวลาตามมาเพียง 2 สัปดาห์ โอกาสที่ประเด็น ม.112 จะถูกต้านผมเชื่อว่าจะน้อยกว่านี้ และโอกาสที่จำนวนรายชื่อจะถึงมือประธานสภาผู้แทนราษฎรมีมากกว่าปัจจุบันนี้ อย่างแน่นอน

อย่าง ไรก็ตาม มิได้หมายความว่าแนวความคิดที่จะแก้ไข ม.112 หรือ ปฏิรูปกองทัพและศาลจะไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ว่าช้าหรือเร็วต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน หากเมื่อใด ประชาชนมีความเห็นสอดคล้องต้องกันแล้ว ไม่มีใครสามารถขัดขืนต่อเจตนารมณ์ของประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่ แท้จริงได้อย่างแน่นอน

ผมไม่เชื่อว่าเราจะสามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆที่กล่าวมา นี้ด้วยระยะเวลาเพียงชั่วข้ามวันข้ามคืนหรือเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลันทันที เพราะอะไรก็แล้วแต่เมื่อมาเร็วก็ย่อมไปเร็ว ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ เป็นขั้นเป็นตอน จัดลำดับกระบวนการขับเคลื่อนให้ดี ความสำเร็จย่อมเป็นอันคาดหมายได้อย่างแน่นอน

-------------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2555