ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Friday, 10 February 2012

คุยกับ 'ไท พฤกษาเกษมสุข' ก่อนประท้วงอดอาหาร ‘112 ชั่วโมง’

ที่มา Thai E-News

9 กุมภาพันธ์ 2555
ที่มา ประชาโท

"ไท" หรือ ปณิธาน พฤกษาเกษมสุข ชายหนุ่มวัย 20 ปี ซึ่งปัจจุบันศึกษาอยู่ปี 2 คณะ นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บุตรชายคนเดียวของสมยศ พฤกษาเกษมสุข ตัดสินใจประกาศอดอาหารประท้วงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับบิดาของเขา ซึ่งถึงตอนนี้ถูกควบคุมตัวในเรือนจำแล้ว 10 เดือน เนื่องจากศาลไม่ให้ประกันตัว

วันนี้ (9 ก.พ. 55) เขาแถลงข่าวร่วมกับ ส.ส. สุนัย จุลพงศธรที่รัฐสภาเรื่องสิทธิของผู้ต้องหาและการทรมานของเจ้าหน้าที่รัฐ ไทแถลงด้วยความหนักแน่นถึงเหตุผลที่เขาตัดสินใจอดอาหารเป็นเวลา 112 ชั่วโมง หรือเป็นเวลา 4 วัน ตั้งแต่สี่โมงเย็นของวันที่ 11 กุมภาพันธ์ จนถึงแปดโมงเช้าของวันที่ 16 กุมภาพันธ์

“เรา ได้ดำเนินการทั้งในทางกฎหมาย ทั้งการยื่นหนังสือร้องเรียนต่างๆ นานาแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นผลอะไร ดังนั้น เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้เล็งเห็นว่าพวกเขาจะทำอย่างไร เพื่อให้เขาเห็นว่าความเป็นธรรมอยู่ที่ไหน เพื่อให้เห็นว่าสิทธิการประกันตัวมีความสำคัญยิ่งกว่าการทรมานร่างกายของ ข้าพเจ้าอย่างไร ข้าพเจ้าจึงได้ประกาศอดอาหารประท้วงเป็นเวลา 112 ชั่วโมง”

ประชาไท พูดคุยกับ ไท พฤกษาเกษมสุข ก่อนที่เขาจะเริ่มเข้าสู่การอดอาหารเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม 112 ชั่วโมง

0000


ทำไมถึงตัดสินใจไปอดข้าวที่ศาลอาญา อยากจะสื่อว่าอะไร

คือ จะไปเรียกร้องต่อศาลอาญาโดยตรง เราเรียกร้องต่อสิทธิในการประกันตัวของพ่อผม นั่นเป็นประเด็นหลักๆ คือ ผมคาดหวังให้ศาลรับรู้ประเด็นของเรา อยากให้เขาเข้าใจประเด็นว่า จุดที่เราต้องการเรียกร้องคือ สิทธิในการประกันตัว ไม่ได้หมายความเราต้องการถึงขั้นที่จะไปเปลี่ยนแปลง ยกเลิกหรือละเมิดอำนาจศาล คือถ้าศาลจะเปลี่ยนคำวินิจฉัย ก็เป็นเพราะดุลยพินิจของศาลเอง เพียงแต่ผมแสดงเพื่อประท้วงให้เห็นว่า ผมไม่เห็นด้วยกับการที่ศาลไม่ให้สิทธิในการประกันตัวของพ่อผม ซึ่งยื่นไปทั้งหมด 7 ครั้งแล้ว หลักๆ ก็คือเพื่อแสดงออกอย่างนั้น ถ้าศาลจะรับไปโปรดพิจารณา และเขาจะต้องเปลี่ยนใจ ก็ต้องเป็นเพราะว่าเขาเปลี่ยนเอง

แล้วได้ไปเยี่ยมพ่อที่เรือนจำบ้างไหม

ไป เยี่ยมสัปดาห์ละครั้ง ถ้าไม่ติดธุระไรก็จะไปเยี่ยมบ่อย โดยในช่วยแรกๆ ก็จะคุยเรื่องให้กำลังใจ แล้วเขาจะถามเรื่องข้อกฎหมาย หลักการ เรื่องคดี ข้อเท็จจริง ผมก็จะนำไปปรึกษาอาจารย์ที่คณะให้ด้วย แล้วก็พาเพื่อนมาเยี่ยม พาคนมาเยี่ยม พาอาจารย์ที่เขารู้ประเด็นพ่อมาเยี่ยมและให้กำลังใจ ก็จะติดต่อเรื่องนี้ให้กับพ่อด้วย ตอนหลังๆ ก็จะคุยเรื่องการให้กำลังใจและพูดคุยเรื่องอนาคตของคดีว่าจะเป็นยังไง ส่วนเร็วๆนี้ก็จะคุยเรื่องการอดอาหารอย่างเดียว

พ่อว่าอะไรบ้างเรื่องที่ไทจะอดอาหาร

พ่อ ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ตอนแรกท่านก็ไม่เห็นด้วย เขาบอกว่ามันน่าจะเป็นหนทางสุดท้าย แต่ท่านก็ให้กำลังใจและให้คำแนะนำมา ไม่ได้ว่าอะไร แต่ท่านก็เป็นห่วงอยู่

ส่วนตัวสนใจทำกิจกรรมทางการเมืองเมื่อไร ก่อนหน้าที่พ่อตัวเองถูกจับหรือเปล่า

สนใจ ก่อนล่วงหน้าก่อนอยู่แล้ว ผมก็ทำกิจกรรมทั้งภายในมหาวิทยาลัยและภายนอกมหาวิทยาลัย ทั้งกิจกรรมทั่วไปแทบทุกอย่าง ทั้งอีเวนท์ทั่วไปของมหาวิทยาลัย งานบอล ทำขบวน ถึงค่ายอาสา จัดกิจกรรมสัญลักษณ์ทางการเมือง ร่วมจัดเสวนาทางวิชาการ เดินขบวนชุมนุมประท้วงเรื่องสิทธิเรื่องการรับน้อง ผมก็เป็นคนเริ่มจัด ทำงานหมดเลย เรียกว่าทำกิจกรรมแทบทุกอย่างของกิจกรรมนักศึกษาภายในสองปีที่ผ่านมา

กฎหมาย ระบุว่าผู้ต้องหาทุกคนมีสิทธิได้รับ การประกันตัว แต่ในคดีของพ่อหรือนักโทษคดีหมิ่นฯ อื่นๆ กลับไม่ได้ประกันตัวเลย ในฐานะที่ตัวเองก็เรียนกฎหมายมา รู้สึกอย่างไร

นั่น มันตามกฎหมาย ไม่ได้ตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงคือสิ่งที่เราต้องปฏิบัติให้เกิดขึ้น และในทางกฎหมาย เป็นเรื่องที่เราต้องพิจารณาว่ามันเป็นธรรมหรือเปล่า ถ้ามันเป็นธรรม มันก็ต้องเป็นสิ่งที่ใช้กับทุกคนโดยทั่วไปโดยเท่าเทียมกัน ในความเป็นจริงก็ต้องเป็นเช่นนั้น

ผม ไม่รู้สึกอะไร คือผมรู้สึกว่ามันต้องเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข ไม่รู้สึกเดือดดาล ไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น คือรู้สึกเฉยๆ แต่เราไม่ได้อยู่เฉยๆ มันเฉยทางความคิด แต่ในทางจิตใจของเรา เรารู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรม เราต้องเข้าไปแก้ไข เป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไข ฉะนั้น สิ่งที่ผมเชื่อและสิ่งที่ผมคิดมาตลอดก็คือ ผมต้องเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วย แต่ก็จะไม่ถึงขั้นใช้อารมณ์เข้าไปเกี่ยว ว่ามันไม่ยุติธรรม เราถึงโกรธหรือเสียใจ

แล้วเตรียมตัวอดอาหารในครั้งนี้ยังไงบ้าง

ตัดสิน ใจตั้งแต่ก่อนบวช ก็บวชมาเดือนครึ่ง ในระหว่างบวชนี้ก็ได้เป็นการฝึกในตัวด้วย เพราะก็เป็นการฉันอาหารแค่มื้อเดียวมา พอบวชเสร็จก็มีประชุมกับกิจกรรมนักศึกษา และเริ่มประกาศว่าจะเราจะทำอะไรบ้าง และเริ่มเตรียม หาคนที่เห็นด้วยและสนับสนุนแนวทางกิจกรรมว่าเป็นยังไงบ้าง และพอมาถึงช่วงหนึ่งก็จะเริ่มเดินสาย ไปพูดคุย ไปพบปะว่าเราจะทำกิจกรรม แล้วก็เตรียมตัว ทดลองอดอาหารอีกครั้งหนึ่งเมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่แล้ว ก็มึนหัวนิดหน่อย

แล้วอดอาหารถึงสี่วันไม่กลัวบ้างหรือว่าจะเป็นอะไรไป

ไม่ ถึงขั้นขนาดนั้น ไม่กลัวเลย ไม่รู้สิ ผมอาจจะแปลกกว่าคนอื่น แต่ผมก็รู้สึกว่า ชีวิตมันก็เท่านั้นน่ะ ถ้าเรามองที่เป้าหมายในการใช้ชีวิตมากกว่า คือ ถ้าเราได้ทำสิ่งที่เราชอบ วันพรุ่งนี้จะอยู่หรือจะตายก็ไม่สำคัญ ถือว่าเราได้เดินมาทางที่เราเชื่อมั่น มาทางที่เราจะเดินไป ถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงจะบอกว่า ก็มีความฝัน อยากเป็นนักดนตรี และเรากำลังอยู่ในเส้นทางนั้น จะเจ็บจะตายวันไหนก็ไม่จำเป็น คือก็มองที่ผลลัพธ์ มองในสิ่งที่ตัวเองได้ทำ ตรงนั้นก็พอแล้ว

หลังจากอดอาหารแล้วถ้าศาลยังไม่ปล่อยตัวพ่ออีกจะทำยังไง

ก็คงจะทำกิจกรรมอื่นต่อไป ก็คงดูว่าจะเป็นรูปแบบไหน เพราะผมก็ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ อายุก็ยังแค่ 20 ก็ คงยังไม่คิด ประสบการณ์ยาวเป็นช็อตๆ ก็ยังไม่มี ก็ต้องหาคำปรึกษา ดูกลุ่มนักศึกษาว่าอันไหนเป็นประเด็นหลัก ประเด็นรอง แล้วก็เอากำลังของเราไปหนุน มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในช่วงนั้นด้วย

แล้วคาดหวังจากศาลมากหรือเปล่าจากการอดอาหารประท้วง

คาด หวังอยู่แล้วครับ ถ้าเรียกว่าคาดหวังไหมก็ต้องคาดหวัง เพราะว่าก็เหนื่อยมาพอสมควรสำหรับการเตรียมตัวสำหรับการอดอาหาร ก็ต้องคาดหวังว่ามันจะได้รับผลตอบรับ ไม่ว่าจะจากสังคมตอบรับมา หรือจากศาล ซึ่งจะตอบรับมายังไงก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลอีกทีหนึ่ง

อยากจะบอกอะไรกับศาลบ้าง

ผม ก็เคารพการตัดสินใจของท่าน เพราะมันเป็นหลักที่ผมต้องเคารพอยู่แล้ว เนื่องจากศาลต้องมีดุลยพินิจเป็นอิสระ ใครคนหนึ่งจะไปอดอาหารประท้วงเพื่อให้ท่านเปลี่ยนการตัดสินใจ มันก็คงไม่ถูก เพราะมันก็คงผิดหลักกฎหมายที่ใครไม่เห็นด้วยก็ต้องไปอดอาหาร ก็คงไม่ใช่ แต่สิ่งที่ต้องการจะชี้ คือชี้ให้เห็นถึงความเป็นธรรม เหมือนจุดกระแสในเรื่องสิ่ทธิการประกันตัวของนักโทษ 112 ให้ เขาเห็นอีกครั้งหนึ่ง ให้เขาเลิกอคติ ไม่ว่าเขามีความคิดเห็นทางการเมืองอย่างไร ก็ให้เขาหันกลับมามองว่าอะไรมีความสำคัญมากกว่ากัน ความยุติธรรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองของเขา เหมือนกับเป็นการเตือนอีกครั้งหนึ่ง ส่วนเขาจะตัดสินใจยังไงนั้นก็เป็นเรื่องของเขา

ความ จริงแล้ว ถ้ามีคนเรียกการอดอาหารว่าเป็นการกดดัน ความจริงแล้วมันไม่ใช่การกดดันเลย การกดดันต้องมีพลังทางการเมือง แต่ว่าของผมนี่มันมีพลังทางสัญลักษณ์

แล้วโดยส่วนตัวได้รับอิทธิพลมาจากพ่อเยอะไหมในการทำกิจกรรม

ไม่ค่อยเท่าไหร่นะ พ่อผมไม่รู้เรื่องผมด้วยซ้ำ ตอนม. 5 ผม เป็นประธานนักเรียน เป็นประธานสภาของอำเภอเด็กของปากเกร็ด ทำกิจกรรมเยอะแยะไปหมด พ่อผมไม่รู้เรื่อง บอกว่าผมเล่นแต่เกม อยู่แต่บ้าน ที่รู้เพราะมีเพื่อนผมมาบอก พ่อยังไม่รู้เรื่องผมเลยด้วยซ้ำ บางทีก็ถามว่าอยู่ม.ไหนแล้ว เพราะแกออกไปทำงานทำกิจกรรม ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยู่บ้าน กลับก็กลับมาตี 1 ตื่น 10 โมง ก็ไม่ค่อยได้เจอกัน เพราะผมก็ไปเรียนแล้ว แต่ก็เคารพท่านที่ทำงานเพื่อสังคม ก็เป็นแนวทาง แต่ท่านก็ไม่ได้สอนอะไรผมมากมาย

แสดงว่าก็ความสนใจก็มาจากตัวเองส่วนใหญ่

ก็ มีแรงบันดาลใจเยอะครับ ผมชอบหนังเรื่องคานธีมากเลย แล้วก็มีอาจารย์ที่เป็นที่ปรึกษาที่ค่อนข้างดี ให้กำลังใจที่โอเค และก็ชอบอ่านหนังสือ อ่านทุกอย่าง ทั้งการเมือง ทุนนิยม สังคมนิยม ธรรมะ ประวัติศาสตร์ อะไรอย่างนี้ ก็เป็นแนวสังคมเป็นส่วนใหญ่