ฤกษ์หามยามซวย-ขุนทหารใหญ่ไปทำพิธีที่วัดอ้อน้อย นครปฐม ซึ่งมีนัยทางการเมืองว่าอาจสุมหัวสมคบคิดเอาฤกษ์เอาชัยก่อการรัฐประหาร แต่ดูเหมือนฟ้าดินไม่เป็นใจ เพราะเกิดเหตุไฟไหม้เตาหลอมพระในพิธีขึ้น เคราะห์ดีไม่มีใครตายซักคน
โดย Pegasus
8 กุมภาพันธ์ 2555
หลังจากที่ได้มีการประชุมลับทั้งนอกและในประเทศแถวใกล้ๆนครปฐมแล้ว เหล่าเผด็จการก็คิดแผนกันว่ามีทางเลือกในการล้มรัฐบาลนี้กันอย่างไร และควรทำอะไรกันต่อไป
แม้ว่าจะไม่มีใครเอาข้อมูลมาเปิดเผยแต่ก็คงเดากันได้ไม่ยาก เพราะที่หวังว่าการใช้น้ำท่วมกรุงเทพฯโดยมีการรื้อพนังกั้นน้ำ การไม่ทำการขุดลอก คู คลอง การออกสื่อหลอกรัฐบาลแต่ก็ไม่ได้ผล และกลับเป็นว่าประชาชนยังคงให้ความไว้วางใจให้รัฐบาลทำงานต่อไป
ทีนี้ปัญหาก็จะเกิดเนื่องจากมีโพลเปรียบเทียบผลงาน 6 เดือนที่ผ่านมาปรากฏว่าประชาชนเห็นว่า ดีกว่ารัฐบาลก่อนที่ทำงานมาถึงสามปีเสียอีก
นี่คือสิ่งที่ฝ่ายเผด็จการซ่อนรูปเริ่มไม่อาจจะปล่อยรัฐบาลให้ลอยนวลได้ต่อ ไป เมื่อคิดว่าจะทำน้ำท่วมอีกรอบ รัฐบาลก็รู้ทันสั่งให้รายงานปริมาณน้ำทุกสัปดาห์ เข้าทำการขุดลอกคลองแทน กทม.
และที่สำคัญธุรกิจของกลุ่มทุนนิยมผูกขาดก็พลอยเสียหายไปด้วยจนมีคำสั่งระงับแผนน้ำท่วมซ้ำสองไปแล้ว
สิ่งที่ฝ่ายเผด็จการกลัวมากกว่าอย่างอื่นคือ ความรู้ทางการเมืองของประชาชนที่กระจายกว้างขวางขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน เพราะยิ่งปล่อยเวลามากไป คนยิ่งรู้เรื่องที่มาที่ไปของกฎหมาย มาตรา 112 มากยิ่งขึ้น รู้ว่าการเมืองไทยเป็นเผด็จการได้อย่างไร
ความคิดที่ว่าสังคมไทยมีความสุข ความสามัคคีนั้นเป็นเพียงคำโฆษณาชวนเชื่อให้หลงมึนงงกับการกดขี่ ขูดรีดของเหล่าเผด็จการเท่านั้น
ยิ่งความรู้ของประชาชนขยายตัวไปยังกลุ่มต่างๆมากขึ้น กว้างขวางขึ้น การเปิดโปงความลับต่างๆมีมากขึ้น การส่งต่อข้อมูลด้วยระบบสารสนเทศอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งหลายนี้คือสิ่งที่ผู้ปกครองไม่อาจจะทนได้
ยิ่งไปกว่านั้น หากปล่อยเนิ่นนานไปหากกฎหมายทหารมีการแก้ไข ทหารก็จะกลายเป็นของฝ่ายประชาธิปไตย การแต่งตั้งโยกย้ายที่เป็นเครื่องมือในการรวบอำนาจไว้ไม่สามารถรักษาไว้ได้ ทหารเองก็กลับจะเป็นอันตรายต่อระบอบเผด็จการเสียอีก
ไม่ต่างจากสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ทหารมีส่วนนำในการเปลี่ยนแปลงไปสู่ การเป็นประชาธิปไตย สิ่งที่ตามมาคือข้าราชการอื่นๆที่เคยปกครองได้ก็จะพากันตีตัวออกห่างตามทหาร ไป เนื่องจากอำนาจทหารที่จะคอยป้องกัน หากมีเหตุผิดพลาดนั้นได้กลับกลายเป็นอื่นไปเสียแล้ว
สิ่งที่อาจสยบทหารได้ทันที ก็คือการออกกฎหมายประกาศให้การยึดอำนาจด้วยการรัฐประหารปี 49 เป็นโมฆะเช่นที่นิติราษฎร์เสนอไว้ ทำให้เกิดความคิดว่าในอนาคตแม้ว่าจะยึดอำนาจจนมีเงินมีทองไปซื้อบ้านใน อังกฤษได้ ก็ไม่แน่ว่าจะรอดพ้นความผิดไปได้ในภายหลัง เมื่อกลับเป็นประชาธิปไตยแล้ว และอายุความก็น่าจะเป็น 20 ปี เพราะเป็นเรื่องกบฏ เชื่อได้อย่างไรว่าระบอบทหารจะยังคงทนอยู่ได้ตลอดระยะเวลายี่สิบปีนั้น เป็นต้น
สำหรับเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายเผด็จการคือ ตุลาการภิวัฒน์ กับการยึดอำนาจโดยทหาร สนับสนุนโดยสื่อและกลุ่มนักวิชาการผู้รับใช้เผด็จการเพื่อสร้างความชอบธรรม
เมื่อหันมาดูการยุบพรรคโดยตุลาการภิวัฒน์เพื่อดึงบางส่วนของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยมาเข้ากับฝ่ายเผด็จการซึ่งก็มีร่องรอยให้น่าคิดอยู่มาก ทั้งเรื่องการไม่เห็นด้วยกับแนวทางของนิติราษฎร์ ทั้งๆที่เป็นความเห็นทางวิชาการ ไม่เกี่ยวกับพรรคการเมืองไหนต้องมาแสดงความเห็นเช่นนั้น
ที่สำคัญคือพฤติกรรมหลายประการเช่นการ ขู่ปิดเว็บไซต์ ด้วยกฎหมายมาตรา 112 ซึ่งเป็นการข่มขู่ และเหมารวมอย่างกว้างขวางเหมือนกับรับงานพิเศษมาทำเพื่อกดดันไม่ให้ฝ่าย ประชาธิปไตยเคลื่อนไหวในทางวิชาการมากเกินไป
สิ่งน่าสังเกตอื่นๆเช่น ความล่าช้าของคดี 91 ศพ คดียาเสพติดของบางพรรคการเมืองที่สุดท้ายน่าจะไม่ถึงตัวใหญ่ รวมถึงใช้วาทกรรม “การล้มเจ้า” ซึ่งแม้แต่คนที่มาพูดยังไม่รู้เลยว่า นิยามของการล้มเจ้าคืออะไร ระบอบประชาธิปไตยกับราชาธิปไตยต่างกันอย่างไร เป็นต้น
ล้วนแต่ใช้คำประดิษฐ์ที่แม้แต่คนพูดก็ยังไม่รู้ความหมายได้แต่จำคำพูดของผู้นำตนมาพูดต่อเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากลุ่มนักการเมืองหรือแกนนำเสื้อแดงบางกลุ่มที่มีทีท่าจะแยกตัวจากคน กลุ่มใหญ่ของประเทศนี้ ก็ต้องคิดหนักเพราะการทรยศเช่นกรณีงูเห่าในพรรคที่เคยเกิดมานั้นเมื่อพบการ เลือกตั้งอีกครั้ง ก็มีความชัดเจนว่าประชาชนไม่ยอมให้อภัย มีการลงโทษกันอย่างสาสม ยกเว้นการใช้อำนาจโกงการเลือกตั้งมาเท่านั้น กระนั้นก็ยังเหลือต่ำสิบ บางส่วนยังขอกลับมาพรรคเดิมของตนหลังจากทรยศไปเป็นเวลานาน
นักการเมืองและแกนนำเหล่านี้จึงไม่น่าจะมั่นใจในอนาคตทางการ เมืองของตน ทางออกที่พอทำได้คือการพยายามแยกรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยให้ออกห่างจากประชาชน ให้ได้ด้วยกลเม็ดต่างๆ เช่นการแสดงภาพยอมสยบต่อฝ่ายเผด็จการในรูปแบบต่างๆทั้งวาจาและการกระทำโดย หวังกันว่าฝ่ายเผด็จการจะเอ็นดูตนเหมือนสุนัขที่เก็บมาเลี้ยง
แต่แท้จริงแล้วผลจะเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบได้ แต่ถ้าหากจะถามฝ่ายเผด็จการว่าจะไว้ใจคนเหล่านี้ได้หรือไม่ ก็น่าจะไม่สนิทใจนักเพราะเมื่อมีผลประโยชน์คนเหล่านี้พร้อมที่จะทรยศได้ตลอด เวลา ในขณะที่ประชาชนมีความเข้มแข็งมากขึ้นทุกขณะ ต่างประเทศสนับสนุนประชาชนคนไทยมากขึ้นทุกขณะเช่นนี้
ดังนั้นการจัดตั้งรัฐบาลในหน่วยทหารเช่นเดิมคงไม่ใช่ของง่ายอีกต่อไปแล้ว
ปัญหาสำคัญที่สุดสำหรับกลุ่มเผด็จการนี้คือ หน้ากากนักบุญผู้ดีมีคุณธรรมของพวกตนถูกกระชากออกมาจนหมดสิ้น กับคำพูดที่ใช้ใส่ร้ายฝ่ายตรงกันข้ามโดยเฉพาะนักการเมือง เช่น การเป็นนักเลือกตั้งหรือซื้อเสียง การเลือกตั้งที่ผ่านมาก็พบแต่พรรคการเมืองฝ่ายเผด็จการเท่านั้นที่ทำกันออก หน้าออกตาโดยมีกรรมการเป็นพวกด้วย
หรือการด่าว่าดร.ทักษิณฯว่าเป็นทุนสามานย์ ทุจริต คอรัปชั่น ก็พบว่าหลายปีที่ผ่านมาและย้อนกลับไปถึงสมัยรัฐบาลพรรคเดียวกันของฝ่ายแมลง สาบ ก็ไม่ได้มีการเหนียมอายในการทุจริตกันตั้งแต่วันแรกที่ทำงานจนวันสุดท้าย ทิ้งทวนงบประมาณ
พอเปลี่ยนมาเป็นการปกครองโดย คมช. เมื่อมีคนถามถึงการใช้เงิน ก็มีคำตอบสวนออกมาว่า ทหารเป็นวีรบุรุษเรื่องเงินไม่ต้องมาตรวจสอบกัน หรือทำงานเพื่อบ้านเมืองไม่ต้องมาถามเรื่องทุจริตเป็นต้นโดยเงินก็หายไป เรื่อยๆ
ที่ร้ายไปกว่านั้นคือพบว่าเครือข่ายที่สนับสนุนเหล่าแมลงสาบล้วนเป็นทุนสามานย์ผูกขาดตัวจริงที่ทำนาบนหลังคนไทยมานานแสนนาน เป็นต้น
เหตุของความยากจน การไร้การศึกษา และถูกหลอกลวงให้มีชีวิตอยู่ไปวันๆ ไม่คิดที่จะขวนขวายมีชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงปัญหาทางสังคมต่างๆเช่น ยาเสพติด ของเถื่อน มาเฟีย การเรียกค่าคุ้มครอง การส่งส่วยที่ทำให้ทุกอย่างแพงอย่างไม่ควรจะเป็น
ในขณะที่ทุนสามานย์ตัวจริงล้วนอิ่มหมี พีมัน และคำใส่ร้ายป้ายสีต่างๆนั้นแท้จริงก็คือสิ่งที่พวกตนคิดและกระทำอยู่ในขณะ นั้นนั่นเอง แต่มาโยนความชั่วของตนเบี่ยงเบนไปที่ฝ่ายการเมืองฝั่งตรงกันข้าม
จนในที่สุดเมื่อการเปิดเผยความจริงชักจะลามมากเกินไป การสั่งฆ่าจึงเกิดขึ้น เช่นการระบุเขตการใช้กระสุนจริง การใช้อาวุธสงคราม การเผาเซ็นทรัลเวิลด์ และห้างใกล้เคียง โดยผู้อยู่ในเหตุการณ์ล้วนระบุตรงกันว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับทหารที่ควบคุม พื้นที่ไว้แล้วทั้งสิ้น
แต่เนื่องจากอำนาจของฝ่ายเผด็จการนั้นแผ่รังสีอำมหิตครอบคลุมประเทศชาติไว้ ความจริงเหล่านี้จึงได้แต่รอคอยการเปิดเผยอย่างหมดเปลือกในอนาคต
คดีความต่างๆก็ดูเหมือนจะมีการจัดฉากให้ไม่สามารถหาคนมารับผิด ชอบได้ มีแต่การเล่นละครให้ดูขึงขังไปเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ประชาชนส่วนใหญ่ ก็ยังคงพูดกันต่อไป กระซิบ กระซาบกันต่อไป
การใช้กฎหมายมาตรา 112 เพื่อปิดปากและเก็บกวาดประชาชนก็ยังมีอยู่ต่อไปโดยระบบราชการเผด็จการที่ยัง คงทำงานไม่หยุดยั้ง ด้วยการสมรู้ ร่วมคิดจากฝ่ายการเมืองของรัฐบาลบางส่วน รวมถึงท่าทีการยอมสยบต่ออำนาจเผด็จการของรัฐบาลที่คงเป็นการเล่นละครน้ำเน่า ด้วยหวังว่าจะได้รับความเอ็นดูดังกล่าวแล้ว
แต่ทว่ายิ่งรัฐบาลอยู่นานเท่าไร ความจริงต่างๆก็ยังขยายตัวกันต่อๆไปในหมู่ประชาชน หากช้าเกินไปการปกปิด การตัดปัญหาต่างๆจะทำได้ยากขึ้นทุกขณะ จนอาจมีผลต่อการรักษาอำนาจและผลประโยชน์ไว้ในที่สุด และพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องกับ ดร.ทักษิณฯ ไม่ว่าจะอย่างไร แม้ว่าจะทรยศถอนตัวออกมา ทั้งหมดก็ต้องถูกกำจัดให้ได้ก่อนที่จะสายเกินไป เช่นคดีใบแดงและการตามด้วยยุบพรรคบางพรรคในขณะนี้จึงน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง
สรุปแล้วการยึดอำนาจดูจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำได้ และต้องรีบลงมือก่อนที่จะมีการแก้กฎหมายทหารจากรัฐสภา แต่ปัญหาก็คือ จะมีทหารสักเท่าไรที่จะออกมาฆ่าประชาชนได้สนุกมือเหมือนครั้งที่ผ่านมา
เงื่อนไขสำคัญในครั้งนี้ก็คือ การได้เป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีสิทธิที่จะต่อต้านการรัฐประหารด้วยการประกาศรัฐบาลพลัดถิ่น แม้ว่าทางตระกูลชินวัตรอาจจะถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นแล้วก็ตาม
เพราะรัฐบาลพลัดถิ่นนั้นใครก็จัดตั้งได้อยู่ที่การรับรองของต่างประเทศ ซึ่งหากว่า ดร.ทักษิณ ชินวัตรยังอยู่ในต่างประเทศ ไม่หลงกลเดินทางกลับไทยโดยเงื่อนไขทางการเมืองไม่เปลี่ยนก่อนแล้ว
การหาประเทศสนับสนุนรัฐบาลพลัดถิ่นนั้นไม่ยาก และ ดร.ทักษิณฯอาจประกาศแทนก็ได้ หรือหากทำไมได้ด้วยเหตุใดก็ตาม นักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยก็คงจะฉวยโอกาสประกาศรัฐบาลพลัดถิ่นอยู่ดี เพราะจะเป็นเงื่อนไขเดียวทางการเมืองที่เป็นไปได้ในขณะนั้น และก็คงจะไม่มีใครยอมฟังเสียงโทรศัพท์ลึกลับอีกต่อไป
ส่วนการรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นนั้นแทบไม่มีปัญหาผู้รับรองและน่าจะมาจากกลุ่ม สหภาพยุโรปทั้งหมด จีน อาเซียน อินเดีย อาจมีรัสเซีย บางประเทศในอัฟริกาและอเมริกาใต้ กลุ่มตะวันออกกลางเกือบทั้งหมด และแม้แต่สหรัฐฯที่จะเข้าข้างผู้ชนะเสมอ รวมประชากรแล้วน่าจะเกิน 2 ใน 3 ของโลก
เมื่อมีรัฐบาลพลัดถิ่นถูกต้องตามกฎหมายการต่อสู้กันก็จะใช้เวลาไม่มากนักคง ยุติลง แต่จะยุติแบบใดนั้นอนาคตคงคาดเดาได้ยาก แต่จากสถิติพบว่าฝ่ายประชาชนนั้นชนะเสมอ แต่จะชนะมากหรือน้อยอยู่ที่ความเข้าใจทางการเมืองของประชาชนเองและแกนนำใน ขณะนั้นว่า เป็นใครและรู้สำนึกหรือไม่ว่า การยอมอ่อนข้อให้เผด็จการนั้น รังก็แต่นำความเดือดร้อนเข้าใส่ตัวโดยใช่เหตุเท่านั้นเอง
จำเป็นต้องกวาดล้างให้สิ้นซากเช่นเดียวกับที่เขาทำกับเราเช่นกัน
ทว่าการจะให้ทหารออกมายึดอำนาจได้จะต้องมีคำขวัญดีๆสักชุดมาล้างสมองประชาชน ซึ่งในเวลานี้จะใส่ร้ายในเรื่องการบริหาร การทำงานของรัฐบาลก็ไม่อาจมีใครมาต่อว่าได้เพราะผลโพลก็บอกว่าทำงานดีกว่า รัฐบาลก่อนมาก เรื่องทุจริตก็ไม่มี
คงมีแต่เรื่องสถาบัน ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นที่สนใจของต่างประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แบบเดียวกับไทย แต่เรื่องนี้ฝ่ายเผด็จการซ่อนรูปกลับจะต้องการใช้ประเด็นนี้เพราะส่วนมากจะ เป็นนักวางแผนรุ่นโบราณ ถนัดแต่การสั่ง การบังคับและการใช้กำลัง จุดอ่อนจึงจะเกิดจากจุดนี้
โดยครั้งนี้การสนับสนุนจากประชาชน การจัดหน้าม้าไปเสียบดอกไม้ในปากกระบอกปืนอีกครั้งคงไม่มีหรือมีก็ไม่มีใคร เชื่ออีกต่อไป ฝ่ายเผด็จการจะคิดเหมือนๆกับที่เป็นข่าวรายวันคือ ทุกเรื่องเกิดจาก ดร.ทักษิณฯ เมื่อมองในมุมกลับ ดร.ทักษิณฯคือตัวอันตราย ไม่ต่างจาก ดร.ปรีดี พนมยงค์ การกำจัดจึงเป็นเรื่องจำเป็นหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความคิดแบบโบราณนี้ มุ่งทำลายแต่บุคคล ละเลยเรื่องโครงสร้าง ไม่นานนักก็จะกลายเป็นจุดอ่อนและพ่ายแพ้ไปเองในที่สุด
จากการประมวลเรื่องราวตามที่ได้ยกมาให้เห็นนี้ ก็คงเข้าใจกันได้อย่างดีแล้วว่า การที่มีการพยายามยกประเด็น มาตรา 112 มาพูดกันในทำนองว่าจะเป็นการล้มสถาบัน ซึ่งไม่ได้เป็นความจริงเลย ซ้ำจะเป็นการช่วยสถาบันจากการถูกแอบอ้างทางการเมืองด้วยซ้ำ
แต่ทำไมจึงพูดกันซ้ำซาก ไม่ยอมฟังเหตุผลและไม่มีเหตุผลมาแก้ได้ในทางกฎหมายมหาชนเลย ไม่ว่าจะเป็นมือกฎหมายของฝ่ายอำมาตย์คนไหนก็ตาม แต่พร่ำพูดแต่คำว่า ไม่บังควร
ซึ่งก็นิยามไม่ได้อีกว่า ไม่บังควรหมายถึงอะไร เพราะหากจะว่าไม่บังควรเพราะห้ามแก้ ก็ต้องย้อนกลับไปดูว่ากฎหมายนี้ถูกแก้โดยคณะปฏิรูปฯซึ่งคือเผด็จการ ทำไมไม่ไปว่าที่ตรงนั้น
การแก้กลับไปไม่มีโทษขั้นต่ำซึ่งเหมือนกับสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชทำไมจึงทำไม่ได้ เป็นต้น
ส่วนที่บอกว่าจะทำให้คนวิจารณ์ได้นั้นเป็นการพูดไปโดยไม่อ่านข้อมูลว่า เป็นคนละประเด็นเพราะยังคงมีความผิดตามกฎหมายและถูกจับได้เช่นเดิมเพียงแต่ ไม่กำหนดโทษขั้นต่ำไว้ก็เท่านั้นเอง
ส่วนการวิจารณ์ในเรื่องโครงการพระราชดำรินั้น เมื่อเป็นภาษีประชาชนทั้งสิ้น ไม่ใช่ราชทรัพย์ส่วนพระองค์ (ในอังกฤษมูลนิธิฯของราชวงศ์แม้เป็นราชทรัพย์ส่วนพระองค์ยังถูกวิจารณ์อย่างหนักว่ามีเจตนาทางการเมือง)ก็ ต้องวิจารณ์ได้ หยุดได้ เลิกได้โดยมีฝ่ายการเมืองรับผิดชอบแทนพระมหากษัตริย์ ที่เราเรียกว่าผู้รับสนองฯ ซึ่งจะถูกวิจารณ์หรือมีความผิดแทนพระมหากษัตริย์ทำให้สถาบันไม่ต้องแปด เปื้อนทางการเมือง หรือมีอิทธิพลทางการเมืองในทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งเป็นข้อห้ามในระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก
ยกเว้นประเทศไทยกลับโดนมาตรา 112 แค่เพียงสงสัยหรือตั้งคำถามเท่านั้น แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สาระสำคัญ
สาระสำคัญคือฝ่ายเสื้อหลากสีหรือเหลืองแปลงร่างซึ่งได้แสดงถึงแสนยานุภาพใน การต่อต้านคณะนิติราษฎร์ไปแล้ว โดยมีผู้ถือป้ายทั้งสิ้น 4 คน และการชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าฯที่มืดฟ้ามัวดิน ไม่ต่ำกว่า 10 คนแต่ไม่เกิน 200 คนเพราะฝนจะตก ทำให้คำว่าล้มเจ้าหมดความขลังลงไปอย่างมาก
เหมือนตอนพยายามจะบอกว่าใครรักสถาบันให้ไปเลือกพรรคการเมืองที่เป็นฝ่าย สถาบัน ซึ่งเป็นการดึงสถาบันมาแปดเปื้อนอีกครั้ง โดยทหารใหญ่ และสว.ลากตั้ง
แล้วผลก็ออกมาอย่างที่เห็น ทั้งๆที่โกงคะแนนกันอย่างจะๆแล้วก็ตาม ภาพยนตร์ของคนที่อ้างสถาบันว่าอยู่ฝ่ายตนขาดทุนย่อยยับ ไม่มีคนดูเรื่องแล้วเรื่องเล่า ทั้งหมดนี้นำไปสู่ข้อสรุปว่า มวลชนที่จะมาเห็นด้วยการการต่อต้านนิติราษฎร์ที่คาดว่า จะเป็นคนไทยทั่วประเทศนั้นมีแค่นี้จริงๆ
หนทางที่จะจบปัญหาด้วยการลงประชามติต่างๆ ฝ่ายแมลงสาบเองนั่นแหละจะเป็นผู้คัดค้าน และในที่สุด การพยายามโยงมาตรา 112 ว่านิติราษฎร์กับคนเสื้อแดงและรัฐบาลเป็นพวกเดียวกันก็ออกมา ไม่ใช่เพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อเพราะคนไม่เชื่ออยู่แล้ว แต่เพื่อให้ทหารที่มีกำลังในการยึดอำนาจเชื่อจะได้ลงมือทำแทนพวกตน ส่วนผลที่ตามมาต่อพวกทหารหลังรัฐประหารแล้วอยู่ไมได้พวกตนไม่เกี่ยว ขอให้ได้อำนาจหรือรักษาอำนาจไว้ให้ได้ก่อน
ความจริงแล้วฝ่ายเผด็จการในทุกประเทศสามารถรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตนไว้ ได้ถ้าไม่โลภเกินไป ยอมผ่อนปรนให้กับประชาชน เลิกการลงมือสังหาร เลิกการใช้กำลังทหาร เลิกการใช้อำนาจทางการเมืองแบบผิดๆ ปล่อยประชาธิปไตยเดินหน้าไป
แต่น่าแปลกแท้ๆ ทรราชเผด็จการทุกแห่งล้วนลงเอยด้วยเส้นทางเดียวกันหมด ในประเทศไทยก็คงเดินตามรอยเดิม โดยจะเริ่มต้นด้วยการใช้มาตรา 112 เป็นข้ออ้างอย่างบ้าคลั่งกระตุ้นให้เกิดการรัฐประหาร
จากนั้นก็ปิดฉากจบละครโรงนี้เสียที
****************