ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า ที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ดิฉันกำลังเต้นอย่างเอาเป็นเอาตายกับเพลง ‘We Found Love’ ของริฮันน่า ที่ฟังกี้ (Funky) อยู่เลย โดยถัดไปไม่ไกลเป็นน้องแอ๊ฟ ทักษอรคนสวยหน้าหวาน ที่สลัดมาดนางเอกมาร่วมเคาน์ดาวน์ด้วยกัน (แต่ไม่ได้มาด้วยกัน) ไม่ใช่เพราะว่าดิฉันไม่เชื่อคำทำนายของเด็กชายปลาบู่อะไรนั่นหรอก แต่เป็นเพราะว่าไม่ได้สนใจดู/ฟัง เลยต่างหาก
จวบจนเกือบเช้าวันใหม่ ที่ทุกอย่างปรกติ ไม่มีแผ่นดินไหว ไม่มีเขื่อนแตก รอบกายมีแต่คนเมา ณ ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำรสแซ่บไม่ไกลจากกันนั้น เพื่อนในกลุ่มจึงออกโรงแถลงให้ฟังว่า เด็กชายปลาบู่เป็นใคร อะไรยังไง ทำไมเรื่องนี้ถึงดัง จนแล้วจนรอดดิฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า เอ่อ...ทำไมเรื่องนี้มันถึงดัง
ที่จริง...เรื่องเล่าประเภทนี้ เราล้วนได้ยินกันมานักต่อนัก ตามหน้าหนังสือพิมพ์หัวสี ในรายการทอล์กโชว์ จากปากหมอดู โหรชื่อดัง ต่างๆ นานาๆ และทุกปีก็ว่าได้ เราก็ล้วนฟังผ่านๆ ไม่ได้จดจ่อ เตรียมตัวรอดูว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เราจะมารู้ตัวอีกที หลังจากที่หมอดูชื่อดังคนนั้นออกมาอ้างความแม่นยำในสิ่งที่ตัวเองเคยทำนายไป (ส่วนอันที่ไม่ถูกก็ลืมๆ มันไป ถือว่าไม่ได้ทาย) เพื่อ...อะไรก็แล้วแต่
แต่ปรากฏการณ์ ‘เด็กชายปลาบู่’ นั้นมาแปลก แม้จะอ้าง ‘ความแม่นยำ’ กับคำทำนายในเหตุการณืที่ผ่านมา แต่ก็ไม่มีอะไรพอจะมาเป็นหลักฐานว่าได้ทำนายไว้จริง (เหมือนพวกหมอดูทั้งหลายที่มีหลักฐานว่าเคยเขียนในนิตยสารเล่มนั้น หรือเคยสให้สัมภาษณ์ไว้ที่ไหน) มีเพียงแค่คำบอกเล่าจาก ‘พ่อเด็กชายปลาบู่’ เพียงเท่านั้น แต่กลับได้รับความสนอกสนใจอย่างท่วมท้นจากสังคม (ผ่านการนำเสนอของสื่อมวลชน รายการโทรทัศน์) และเกิดการตื่นตระหนกอย่างไม่สมเหตุสมผลมาก่อน
ทำไมสังคมไทยถึงได้อ่อนไหว (ง่ายดาย และไม่สมเหตุสมผล) ถึงเพียงนี้....
ดิฉันคิด (เอาเอง) ว่า อาจเป็นเพราะเราเพิ่งผ่านพ้น (?) ภัยธรรมชาติครั้งยิ่งใหญ่อย่างน้ำท่วมมาหมาดๆ และคำทำนายของเด็กชายปลาบู่ก็เป็นคำทำนายเกี่ยวกับภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้น ความเกี่ยวเนื่องของสองเหตุการณ์นี้อยู่ที่ ความเสียหายอันใหญ่หลวงของภัยน้ำท่วมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้คนในสังคมเห็นว่าไม่มีชุดความรู้ทางวิชาการ วิทยาศาสตร์ไหนที่เชื่อถือได้ และสัมฤทธิ์ผลในการนำมาปฏิบัติและป้องกันภัยธรรมชาติได้เลย (ซึ่งนี่คืออีกชุดหนึ่งของความคิดที่เราคิดว่าความเป็นวิทยาศาสตร์มันต้อง แม่นเป๊ะๆ นำมาใช้แบบ 1+1 แล้วต้องเป็นสอง) ไม่เพียงแค่ในช่วงระยะเวลาที่น้ำท่วม แต่แม้แต่การคาดการณ์ ป้องกัน แจ้งเตือน ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติครั้งไหนๆ (สึนามิ ?) สังคมไทยก็ไม่เคยได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยี วิวัฒนาการ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่กระเดียดไปในทางวิทยาศาสตร์ได้เลย
นั่นทำให้ความคิดของเราไม่สมาทานไปกับเรื่องวิชาการ วิทยาศาสตร์เลยแม้แต่น้อย
จึงทำให้คนในสังคม ไม่ Rational กับคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ แม้ว่าในยุคนี้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะก้าวหน้ามากถึงเพียงใด แต่ด้วยความที่เราไม่เห็นถึงสัมฤทธิ์ผลของวิทยาศาสตร์ในการจัดการกับปัญหา ภัยธรรมชาติได้เลยสักครั้ง (ซึ่งนี่ก็คืออีกหนึ่งชุดความคิดที่อาจไม่ถูกต้องนัก) เราจึงไม่หวังผล ไม่ศรัทธา ไม่เชื่อมั่น ไม่สมาทานตัวเองเข้ากับความเป็นเหตุเป็นผลแบบวิทยาศาสตร์ ส่วนการที่เราหันมาสมาทานตัวเองกับ ‘เรื่องที่ออกแนวไสยศาสตร์’ (หรือเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้) มากกว่านั้น อาจเป็นเพราะไม่ว่าสังคมใดๆ ก็เกิดและเติบโตมาจากสังคมแบบสังคมบุพกาลทั้งสิ้น นับถือฟ้าเพราะฟ้าร้อง..น่ากลัว นับถือผี บูชาสิ่ง (ที่ถูกยกระดับให้เป็น) สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นความเชื่อรากเหง้าดั้งเดิมของสังคม เช่นเดียวกันกับสังคมไทย และสตอรี่แบบนี้ก็ยังเวียนว่ายอยู่ในบทสนทนาของคนส่วนใหญ่ ในหน้าหนังสือพิมพ์ (ขอหวย ? ต้นกล้วยออกลูกมาคล้ายมังก ร ?) แม้วิทยาศาสตร์จก้าวไกลไปมากแค่ไหน แต่เมื่อเรายังไม่โผล่พ้นจากการเป็นสังคมบุพพกาล และยังผิดหวังด้วยเพราเทคโนโลยีไม่แคยสำแดงฤทธิ์เดชให้เห็นว่าสามารถจัดการ กับภัยธรรมชาติได้ จึงไม่แปลกใจที่เรื่องของเด็กชายปลาบู่จะกลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ และมีคนเชื่อย่างจริงจังเช่นนี้
ในปรากฏการณ์นี้มันทำให้เห็นถึงทัศนคติ ความเชื่อ ของคนในสังคมไทยที่มีต่อวิทยาศาสตร์ (ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่เลือกเชื่อเป็นเรื่องๆ ตามเหตุที่วิทยาศาสตร์สามารถสำแดงฤธิ์เดชให้เห็นได้จริง) ทำให้เห็นถึงความอ่อนไหว และอ่อนด้อยของคนในสังคมต่อชุดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เหมือนดังเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา ที่เราต้องการผู้เชี่ยวชาญแล้วเชี่ยวชาญอีกมาคอยย่อยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ต่างๆ ให้ง่าย...ง่ายเข้าไปอีก (นัยถึงเราอาจจะบอกได้ว่าก็ข้อมูลเหล่านั้นนำเสนอไมได้เรื่องเอง ถึงทำให้เข้าใจยาก แต่อีกนัยหนึ่งก็คือเราเป็นสังคมที่อ่อนด้อยในเรื่องวิทยาศาสตร์จริงๆ)
ความผิดหวัง (ด้วยชุดความรู้ที่เราทึกทักเอาเองว่าวิทยาศาสตร์มันต้องเป็นแบบนี้) จากอำนาจของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อภัยธรรมชาติ ก็ไม่ต่างจากข่าวเรื่อง ‘ชาวบ้าน’ (หนังสือพิมพ์มักจะใช้คำนี้) แห่ไปขอหวยจากต้นกล้วยออกลูกมาคล้ายมังกร หรือวัวออกลูกสองหัว ฯลฯ ในความคล้ายคลึงกันของมันคือ ไม่ใช่ว่าประชาชน คนในสังคมไทย (หรือตามแบบที่หนังสือพิมพ์ชอบใช้คำว่า ‘ชาวบ้าน’) นั้น ‘ด้อยการศึกษา’ แต่เป็นเพราะด้วยโครงสร้างของสังคม ไม่เปิดโอกาสให้คนได้ ‘ร่ำรวย’ ได้อย่างเท่าเทียม (ไม่ต้องถึงกับร่ำรวยหรอก แค่ไม่จนก็พอแล้วมั้ง) คงยากที่ชาวนา ชาวสวน ที่นอกจากจะต้องลุ้นว่าน้ำจะท่วมไหม หรือบางปีก็จะมีน้ำทำนาไหม จะสามารถค่อยๆ เก้บเงินจนเป็นเศรษฐีเงินล้านได้จากการทำงาน เช่นเดียวกันกับผู้ใช้แรงงาน ที่จะสามารถไต่เต้าจากเงินค่าแรงวันละสองร้อยกว่าบาท (เอ๊ะ ได้สามร้อยกันหรือยัง ?) อดทนทำงานไปหลายๆ จนได้วันละพัน การจะรวย (ทางลัด หรือในทางที่พอมีเปอร์เซ็นต์จะเป็นไปได้) สำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่งก็คือการเล่นหวยรวยเบอร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาอาจจะไม่ชอบหรอก แต่มันสามารสมาทานตัวเองเข้าไปได้ มันทำให้เกิดการใฝ่ฝันได้ ในสังคมที่ไม่เท่าเทียม
เรื่องความงมงายในทางโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ก็เช่นเดียวกัน มันเป็นสิ่งที่เขา (เรา?) สามารถสมาทานตัวเองเข้าไปได้อย่างง่ายดาย เพื่อปกป้องตัวเองจากความหวาดกลัว จากความเสียหาย จากอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับชีวิต ทรัพย์สิน เพราะวิทยาศาสตร์ในสังคมนี้ บ้านเมืองนี้ ไม่เคยพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าสามารถปกป้องพวกเขา (เรา?) จากความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินจากภัยธรรมชาติได้เลย...เท่าที่ผ่านมา
มันไม่ใช่เรื่องของการโง่ หรือไร้การศึกษา
ทีนี้เรามาดู ‘คนมีการศึกษา’ เขาทำกัน
ศาลสั่งจำคุก "พ่อปลาบู่" 15 วัน-ปรับ 500 ให้รอลงอาญา
“ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 9 มกราคม ที่ สภ.เมืองตาก จ.ตาก นายทองใบ คำศรี อายุ 73 ปี บิดาของ ด.ช.ปลาบู่ พร้อมด้วย ดร.ปชา ภาณุบุญ ผู้ติดตาม เข้าพบ ร.ต.ท.ชัยวัฒน์ พริ้งสกุล พนักงานสอบสวน เพื่อให้ปากคำตามหมายเรียกหลังนายสงคราม มนัสสา สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาก เข้าแจ้งความให้ดำเนินคดี ในข้อหากล่าวเท็จทำให้ประชาชนตื่นตกใจว่าเขื่อนภูมิพลจะแตกในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่าเวลาผ่านไปไม่เป็นไปตามกล่าวอ้าง จึงถูกดำเนินคดีดังกล่าว
การเดินทางเข้าให้ปากคำ นายสงครามพร้อมชาวบ้านกว่า 100 คน มาคอยพบนายทองใบแต่ไม่ได้พบจึงเดินทางกลับ พร้อมมอบดอกไม้ให้กำลังใจนายสงครามที่ทำหน้าที่แทนประชาชน จนกระทั่งเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง ต่อมาในเวลาประมาณ 15.00 น. พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนและนำตัวนายทองใบส่งฟ้องศาลจังหวัดตาก ขณะที่ศาลได้สั่งลงโทษจำคุกนายทองใบเป็นเวลา 15 วัน ปรับ 500 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี และสั่งนายทองใบห้ามพูดจาเลื่อนลอยแบบเดิม หลังศาลตัดสินนายทองใบยังได้ยกมือขอโทษชาวเมืองตากที่ทำให้ตื่นตกใจพร้อม บอกว่าไม่ได้ตั้งใจ
นายสงคราม กล่าวว่า การแจ้งความดำเนินคดีกับนายทองใบครั้งนี้เพื่อจะทำให้หลาบจำไม่นำความเท็จไป สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอีก เพราะที่ผ่านมาก็เกิดความวุ่นวายให้กับชาวเมืองตากโดยทั่วหน้าซึ่งเหตุการณ์ ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างคำกล่าวอ้าง ก็ขอให้นายทองใบจดจำไว้เป็นบทเรียนต่อไปก็อย่าพูดอะไรที่จะทำให้ผู้คนแตก ตื่นตกใจอีก”
ที่มา : เว็บไซต์ประชาไท
จากข่าวนี้เชื่อว่าทุกคนคงมีคำถามมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
- มีกฎหมายเอาผิดกรณีแบบนี้จริงๆ หรือ (กฎหมายอาจมี แต่กรณีแบบนี้เข้าข่ายความผิดทางกฎหมายจริงๆ หรือ)
- กรณีต่างอะไรกันกับกรณีหมอดูทั้งหลายที่ชอบออกมาทำนายว่าปีหน้าจะเกิด อะไรขึ้นบ้าง (แล้วไม่เป็นจริง) ถือเป็นความผิดโทษเดียวกันหรือไม่ ทำไมจึงไม่การกล่าวโทษฟ้องร้อง ทำไมประชาชนถึงไม่ตื่นตกใจ นี่คือสองมาตรฐานในสังคมไทยอีกอย่างหรือเปล่า
- ศาลใช้เหตุผลกลใดในการตัดสินความผิดในกรณีนี้
- เหตุใดตัวกลางอย่าง ‘สื่อมวลชน’ ซึ่งเป็น ‘ตัวการ’ ในการไขข่าว เผยแพร่ข้อความนี้ไม่โดนดำเนินคดีด้วย ในฐานะ ‘ตัวการ’ (agent) ที่ทำให้ประชาชนตื่นตกใจ
- ตามข่าว พบว่าในคืนวันที่ 31 ธันวาคมนั้น มีประชาชนจำนวนมากไปเคาน์ดาวน์ในสถานที่เด็กชายปลาบู่ทำนายไว้ว่าจะเกิดภัย พิบัติ จากข้อเท็จจริงนี้สามารถนำมาหักล้างคำว่า ‘ประชาชนตื่นตกใจ’ และศาลจะรับฟังหรือไม่ ในเมื่อมีประชาชนอีกกลุ่มที่ไม่ตื่นตกใจ
- เรื่องแบบนี้มันควรจะเป็นเรื่องเหรอ...!!!
ความเศร้าใจในสังคมไทยของดิฉันไม่ได้อยู่ที่ปรากฏการณ์แบบเรื่องของเด็กชายปลาบู่ ที่มีคนตื่นตระหนก เชื่อถือ
หรือคิดจริงจังว่ามันจะเกิดขึ้นจริง ทั้งๆ ที่ไม่มีปัจจัยที่แสดงถึงเหตุแห่งภัยพิบัตินั้นเลย (ในหนังฮอลลีวูดพล็อตเรื่องแบบนี้มีมากมาย แต่มันก็จะมีตัวแปรที่ตัวเอก ซึ่งอาจเป็นนักวิทยาศาสตร์หนุ่มหล่อ จะเห็นอยู่คนเดียว เสมอๆ ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลยแบบนี้) หรือการเป็นสังคมบุพพกาลของสังคมไทย หรือชุดความเชื่อต่างๆ ที่ผิดๆ ที่ฝังแน่นอยู่ในสังคมไทย จนเกิดเป็นปรากฏการณ์ที่หลายๆ หลายคนบอกว่าถ้าเรื่องนี้ไปเกิดที่อื่น...(เติมคำในช่องว่าเอาเอง) เพราะตราบเท่าที่มันไม่ไปทำร้ายใคร
แต่การจัดการปัญหา ความขัดแย้ง ของคนที่ได้ชื่อว่า ‘มีการศึกษา’ (และมีอำนาจ ?) นี่สิ คือความเสื่อมถอยของสังคมไทยโดยแท้ หรือนี่เป็นการเชือด (พ่อ) ปลาบู่ให้ลิงดู ว่าใครที่ ‘เป็นใครไม่รู้’ ไม่มีความรู้ในศาสตร์อันเก่าแก่ ไม่มีตำราโหราศาสตร์ถือโก้ๆ โชว์ในโทรทัศน์ ไม่มีฐานะทางสังคม คำนำหน้า นามสกุล หรืออะไรก็แล้วแต่ ออกมาพูดอะไรที่ไม่เข้าท่าในสังคมที่ประชาชน (กลุ่มหนึ่ง) ไร้ซึ่งสติปัญญา เหตุผลในการแยกแยะ คัดกรอง ว่าอะไรที่ควรเชื่อไม่ควรเชื่อ อะไรจริงไม่จริง ด้วยวิจารณญาณของตัวเองได้นั้น (ซึ่งในกรณีนี้จะเห็นได้ว่าผู้ใช้กฎหมายก็ไม่ต่างอะไรกับประชาชน (กลุ่มนั้น) ของตัวเอง) ต้องถูก ‘เชือด’ เพื่อที่จะได้ไม่มีใคร (ที่เป็นใครไม่รู้) หาญกล้าทำซ้ำอีก (ซึ่งตอนนี้ก็เห็นๆ กันอยู่ว่ามีหลายเรื่องทีเดียว)
คนมีการศึกษาในบ้านนี้เมืองนี้ (ที่พิจารณาดีๆ แล้ว ระดับสติปัญญาในการใช้ตรรกะ เหตุผล วิจารณญาณ นั้นไม่แตกต่างกันกับคนไร้การศึกษา) น่ากลัวกว่าคนไร้การศึกษา ที่ถูกเรียกว่าชาวบ้าน งมงาย เชื่อเรื่องโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์เสียอีก