ภาระหน้าที่เดิมของขบวนการคนเสื้อแดงและนปช.แดงทั้งแผ่นดิน เพื่อแก้ปัญหาที่คณะรัฐประหารและเครือข่ายระบอบอำมาตย์ได้กระทำต่อประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการประกันตัว การเยียวยา การต่อสู้คดี ทั้งในฐานะผู้ถูกกระทำ และการฟัองร้องดำเนินคดีเพื่อเอาคนผิดมาลงโทษ ล้วนยังไม่สิ้นสุด
เรายังต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพราะในฐานะผู้ถูกกระทำ เราสูญเสีย และเสียหายหลายพันครอบครัว นับหมื่นคน องค์กรประชาชนเช่น นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ก็เหมือน องค์กรประชาชนอื่นๆ ที่มีความจำกัดทั้งด้านฝ่าย กฏหมาย กำลังคน และกำลังทรัพย์ ต้องอาศัยเราทั้งขบวนช่วยกัน
ฝ่ายที่ทำงานด้านเยียวยา ได้แจ้งตัวเลขที่ทำการเยียวยาส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำนวน กว่าห้าล้านบาท ดังเราได้แถลงข่าวไปแล้ว แต่ที่อยู่นอกเหนือชุดเยียวยาของปลายปี 53 ต่อ 54 นั้นเป็นการใช้จ่ายตั้งแต่หลังวันที่ 10 เมษายน 53 เป็นต้นมา ในขณะอยู่ระหว่างถูกปราบปราม ก็เป็นตัวเลขอีกจำนวนหนึ่งต่างหาก
นี่ย่อมไม่รวมการช่วยเหลือส่วนตัวของแกนนำ ของพรรคเพื่อไทย ของบ้านเลขที่111 และของคุณทักษิณ ชินวัตร ตลอดจนผู้มีอุปการะคุณอื่นๆอีก
ยังมีค่าใช้จ่ายในระหว่างถูกคุมขัง จ่ายให้ครอบครัวเพื่อการประกันตัว และการต่อสู้คดี ที่ สส.และผู้อุปการะในท้องถิ่นต่างๆสนับสนุนช่วยเหลืออีกต่างหาก ผู้ที่มองเห็นปัญหาและตามมาช่วยในระยะหลังๆจึงเป็นเรื่องที่ดี และเรื่องเช่นนี้ ถ้าคิดตามคติคนไทยทั่วไป ก็ถือเป็น “การทำบุญช่วยคนทุกข์ยาก” แต่ถ้าเป็นนักต่อสู้ในขบวนประชาชน ก็ถือเป็นส่วนของ “การหนุนช่วยการต่อสู้ของประชาชน” ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น
อาจมีบางคนใช้เรื่องเช่นนี้ หันปลายหอกมาโจมตีภายในขบวนฯด้วยกัน โดยนี่อาจเป็นเพราะข้อมูลที่ได้รับไม่เพียงพอ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม ทำให้เลยเถิดไปจนไม่ใช้ท่าทีของคนในฝ่ายประชาชนด้วยกัน
ทำให้ผู้เขียนคิดไปถึงเหตุการณ์ในช่วงก่อน “6ตุลา19” ที่มีกลุ่มซ้ายจัดที่ได้รับอิทธิพลปฏิวัติวัฒนธรรมชนชั้นกรรมาชีพของจีนและ เกิด “กลุ่มเรดการ์ด”ออกมาโจมตี คนในฝ่ายประชาชาธิปไตย และในฝ่ายขบวนการต่อสู้เดียวกัน โดยไม่รู้ข้อมูล ความจริง
จนทำให้ขบวนการนักศึกษาประชาชนในตอนนั้นถูกโดดเดี่ยวจากสังคม และเป็นการง่ายต่อฝ่ายปฏิปักษ์ของประชาชน ฝ่ายเครือข่ายอำมาตย์ “จัดการ”กับฝ่ายก้าวหน้า นักเรียน นิสิต นักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และในสังคมไทยทั้งหมด
กลุ่มนิติราษฎร์เป็นกลุ่มตัวอย่างที่มีเป้าหมายและกระบวนการทำ งานชัดเจนของตนเอง ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างนิติรัฐ นิติธรรมให้เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยหันปลายหอกไปสู่ความไม่ถูกต้องของนิติรัฐปัจจุบัน
สำหรับ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน เอง ก็ต้องสรุปบทเรียน ข้อดี ข้อผิดพลาด รวมทั้งการปรับโครงสร้างใหม่ สำหรับการจัดตั้งองค์กรและการนำขององค์กร และนี่ก็หมายถึงอนาคตขององค์กรในระยะต่อไปด้วย
อย่างไรก็ตาม การปรับองค์กรนปช.ในปลายปี 52 ได้วางหลักนโยบาย เป้าหมาย ทางยุทธศาสตร์ใหญ่ไว้ดีพอสมควร จนสามารถใช้ขับเคลื่อนได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริงจนถึงปัจจุบัน นั่นก็คือ รอบใหม่ของการต่อสู้คือ “การยกเลิกรัฐธรรมนูญ2550 และกฏหมายที่ไม่เป็นธรรมทั้งปวง ยุติการรัฐประหารทุกรูปแบบในสังคมไทย”
ภาระกิจในรอบการต่อสู้ใหม่ที่ยกระดับจากการล้มรัฐบาลระบอบอำมาตย์ จึงต้องเป็นไปเพื่อเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ เพิ่มเติมจาก 5 ข้อเดิม
พิจารณาแล้ว ควรจะเพิ่มภาระหน้าที่รอบใหม่คือ
1.นำเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ2550มาตรา291 เพื่อเปิดประตูสู่การ “ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน โดยประชาชนเข้าชื่อกันเพื่อ “แก้มาตรา291”ให้ได้ประมาณสองแสนคนภายในเดือนมกราคม2555
2.จัดเวทีปราศรัย เวทีเสวนา สำหรับกลุ่มคนต่างๆและ เปิด “โรงเรียนนปช.เพื่อ นิติรัฐ นิติธรรม และความคิดเห็นในประเด็นหลักๆสำหรับการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน และแก้ไข หรือยกเลิกกฏหมายที่ไม่เป็นธรรมทั้งปวง” ตลอดปี2555
3.ผลักดันใหัมีการเลือกตั้ง สสร.ของประชาชน ภายในกลางปี 2555 และให้ สสร.จากการเลือกตั้งมีบทบาทในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยรับฟังความคิด เห็นจากประชาชนอย่างทั่วถึง
4.จัดตั้งเวทีต่อเนื่องเพื่อผลักดัน ให้เกิด นิติรัฐ นิติธรรม ในประเทศไทย และการให้ความยุติธรรมต่อคดีความผิดทางอาญาอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการ เมือง ศึกษาเรื่อง “ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านสังคม และความยุติธรรมในระยะยาวต่อไปภายหน้า”
นี่จึงเป็นการเพิ่มเติมภาระหน้าที่ ในการต่อสู้รอบใหม่ของปี2555 เป็นต้นไป แม้ภารกิจการเยียวยา และการต่อสู้คดียังไม่เสร็จสิ้นก็ตาม แม้พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ก็ไม่ได้หมายความว่า การเยียวยา การสร้างนิติรัฐ นิติธรรม จะง่ายดาย ราบรื่น เพราะพรรคเพื่อไทยก็มีองค์ประกอบเช่นพรรคการเมืองทั่วไป ที่มีความหลากหลายมากมายยิ่งกว่าขบวนการประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงเสียอีก มีทั้งพวก อนุรักษ์นิยม เสรีนิยม หรือ พวกยึดติดกับผลประโยชน์ส่วนตน กลุ่มตน กระทั่งต้องการลดทอนกำลังและองค์กรนปช.แดงทั้งแผ่นดิน ทำลายขบวนการเสื้อแดงก็มี
ดังนั้นการต่อสู้ของประชาชนรอบใหม่จึงไม่ง่ายเสียทีเดียว แต่ก็ไม่ควรจะกล่าวว่ายากเพราะเรามีพื้นฐานที่ดีจากผลพวงการต่อสู้ของ ประชาชนที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการต่อสู้หลังการทำรัฐประหาร2549 เป็นต้นมา
ตลกร้ายที่มีการเอาผู้นำการทำรัฐประหารมาเป็น “ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อการปรองดอง”
อาจจะคิดว่า “หนามยอก เอาหนามบ่ง”
แต่หนามนี้ ที่เป็นหนามยอกได้ ก็เนื่องมาจาก ในขณะนั้นเขายึดกุมกำลังกองทัพอยู่ กำลังจึงมิได้มาจาก กำลังส่วนตนเอง แต่เขาเป็นผู้ถืออาวุธในเวลานั้นเท่านั้น จะเอาอะไรมาทำให้เกิดความปรองดองได้ในขณะนี้ ผู้เขียนยังสงสัย มองไม่เห็น กำลังแห่งบารมีหรือสติปัญญา ของเขาผู้นี้ ซึ่งเป็นเพียงแต่ผู้แขวนป้ายอดีตผู้นำการทำรัฐประหารเท่านั้น
การแก้รัฐธรรมนูญ2550มาตรา291 เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน นี่จึงถือเป็น “ก้าวย่างของการปรองดองโดยแท้” เพราะขนาดประชาชนถูกกระทำจนบอบช้ำ ถูกล้อมปราบ เข่นฆ่ากลางถนน นับร้อยศพ ถูกตั้งข้อหาฉกาจฉกรรจ์ ถูกจับกุมคุมข้งก่อนโดยปราศจากพยานหลักฐานอันแน่นอน และเพียงพอ บ้างต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน บ้านแตกสาแหรกขาด เสียโอกาสการประกอบอาชีพ และการมีชีวิตอย่างปกติสุข
เราถูกกระทำถึงเพียงนี้ แต่เราก็ยังต้องอดทนที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างมีจังหวะก้าว จนสามารถผ่านชัยชนะจากการเลือกตั้งเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่แทนที่รัฐบาลที่มา จากการสนับสนุนของปากกระบอกปืน และถึงขั้นตอนนี้ในปี2555 ขอให้เขียนกติกาสังคมใหม่ กฏหมายใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฏหมายสูงสุดคือรัฐธรรมนูญ โดยทำการต่อสู้ในระบบ ในกติกาเดิมที่มีอยู่คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ2550ในมาตรา291
นี่แหละคือก้าวย่างของการปรองดองของประชาชน ที่มีต่อกลุ่มคนในระบอบ อำมาตรย์ที่กุมกลไกรัฐแท้จริง และได้ปราบปราม ใช้อาวุธสงครามกระทำต่อเรา ประชาชนไทย
ถ้าก้าวย่างแห่งการปรองดองนี้ถูกปฏิเสธ หรือเป็นไปไม่ได้ ก็หมายความว่า ถนนสายแห่งการปรองดองถูกปิดกั้น (ด้วยบิ๊กแบ๊คของอำมาตย์?)
ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่ากระแสแห่งการต่อสู้ของประชาชนต้องถูกบังคับให้ใช้ถนนสายอื่นเช่นนั้นหรือ?
ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า เส้นทางนี้เราสามารถผ่านไปได้
ดังนั้นประชาชนไทยคงได้ลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ภายในปี2556อย่างแน่นอน
ทั้งนี้เรายังไม่ลืมภาระกิจที่เราต้องทำอย่างต่อเนื่องต่อไปคือ
เราต้องยืนหยัดดำเนินการทำความจริงให้ปรากฏ และในการนำเอา “ผู้รับผิดชอบในการผู้สั่งฆ่าประชาชนไทยสองมือเปล่าด้วยอาวุธสงคราม มารับโทษตามกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศและภายนอกประเทศ”อย่างจริงจังจนถึงที่สุดต่อไป
เรายังคงต้องติดตามการดำเนินการต่อเนื่องในเรื่องการประกันตัวและการให้ การเยียวยาพี่น้องเราที่ได้รับผลกระทบจากการต่อสู้เมื่อปี2553 ซึ่งในปัจจุบันรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้น จาก พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยและพี่น้องเสื้อแดงต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบโดยตรง สำหรับนปช.แดงทั้งแผ่นดินก็ต้องดำเนินการจัดตั้ง “กองทุนเพื่อความยุติธรรม”เพื่อสนับสนุนการต่อสู้คดีทั้งในฐานะผู้ที่ ถูกกระทำและฟ้องร้องเอาตัวคนผิดมาลงโทษทางกฏหมาย”
เรายังคงต้องขยายกำลังและทำให้การจัดตั้งของเราแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นต่อไป